วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรณีสำคัญที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการท่องเที่ยวไทย

กรณีสำคัญที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการท่องเที่ยวไทยอีกครั้งหนึ่ง หลังเหตุการณ์ของสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ไม่อาจทนรอความตายได้อีกต่อไป หลังจากเมื่อกลางปี52ที่พากันยกขบวนไปพบ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอร้องให้เข้ามานั่งหัวโต๊ะเมื่อมีการประชุมวาระแห่งชาติว่าด้วยเรื่องการท่องเที่ยว คู่กับ ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อย่างน้อย 2-3 เดือนครั้งก็ยังดี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีจะได้รับทราบปัญหาต่างๆ ของธุรกิจการท่องเที่ยว และสามารถสั่งการแก้ปัญหาได้อย่างฉับไว เพราะที่ผ่านมางานทุกอย่างเกิดความล่าช้าเนื่องจากตัวของรัฐมนตรีเองที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ

นัยว่าน่าเห็นใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่โดนผลกระทบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ และโรคระบาด ก้อจริงยู้ แต่บางรายก้อไม่น่าเห็นใจร๊อก เพราะมีพฤติการณ์เห็นแก่ได้เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นหัวคนไทย ยามยากก้อบากหน้าเรียกร้องให้มาเที่ยว( คนไทยเบื่ออ่ะ)

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่สุขภาพไม่ดีของรัฐมนตรีเองหรือเปล่า คนเราลองสุขภาพไม่ดีเสียแล้ว สมองคงสั่งการได้ไม่เต็มร้อย เผลอๆ ต้องอาศัย “การสุมหัว” จากคนใกล้ชิดมาช่วยวางแผนให้ ว่าควรจะทำอะไรบ้างไปวันๆ
อาจเป็นเพราะDNAไม่เหมาะกับงาน หรือ มีสายบังเหียนบังคับตรงมาจนไม่อยากเข้ามายุ่งล่ะ คิดแล้วก็อยากป่วยอยู่

เมื่อคราวที่บรรดาสหภาพแรงงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปถือป้ายไล่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานบอร์ด ททท.ออกจากตำแหน่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา มองดูแผงบริหารไหงหน้าตาแปลก เช่น วันนั้น มี
1. พี่วีประธานบอร์ด
2. รัฐมนตรีว่ากระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา(เหงาๆ)
แล้วยังยังมีตระกูลม้ายกมาบังคับบัญชาหน้าตาเฉยๆๆๆๆๆ อาทิ
3. ขาเก๋าบรรหาร ศิลปอาชา (ที่ชอบเรียกตัวเองว่าและให้คนอื่นขานเรียกว๊า.นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แทนคำว่าอดีตนายกรัฐมนตรี)
4. น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา นี่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชำนาญการระดับไหน ใครตั้ง (ถามป้อ)ลูกสาวของบรรหารรวมอยู่ที่นั่นด้วย
มันงงๆว่าเป็นที่มั่นของตระกูลตั้งกะเมื่อไหร่ แล้วใครอนุญาติให้มาหากิน เอ๊ย มาทำงง ทำง่าน ที่นี่
เอ หรือมันเป็นกระทรวงการศิลปอาชาเพื่อการท่องเที่ยวสุพรรณ
อ๊ายอาย
คือที่มั่น ที่มัน ที่หา .... ตั้งตนเป็นเจ้าของกระทรวงซะเลย
อ้อ ตอนนี้ พ่อตั้งให้ลูกเป็นที่ปรึกษาผ่านน้าชาย(ตอบอะไรได้มั่งล่ะ ฮุฮุ)

เอ๊า ข้อคิด
1. ไม่สามารถครองใจคนในให้อยู่ และชนะใจคนนอกก็ไม่ได้...อยู่ไปก็ลำบาก
2. ขนาดพนักงาน ที่มีบุคลิกเรียบร้อย ร้อยวันพันปีไม่เคยเคลื่อนไหวอะไร ยังทนไม่ได้ ต้องออกมาเรียกร้องไล่ “คนที่ไม่เกี่ยวข้อง” ออกไปให้พ้นๆ
3. กระทรวงทำอะไรอยู่อย่าสร้างส้วมต่อไปเลยสู้ส้วมวัดก็ไม่ได้ (แบบนี้อย่าหาเรื่องไปโอน-ส้วมมาเป็นของตัวนะ)
4. ปากผู้บริหารระดับรัฐมนตรี ที่ให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่าทนไม่ได้ที่ “มีคนนอก”( ครือคนนอกพวกตน)มาดึงงบประมาณไปเป็นประโยชน์เฉพาะพวกตน
5.บรรหาร ศิลปอาชา ตอบโต้ว่าไม่จริง ไม่เคยดึงงบ ททท.ไปลงสุพรรณบุรี
6. หลังจากนั้นไม่กี่วัน สภาพัฒน์ก็ส่ง “ใบเสร็จ” มาให้ดูว่ามีการโอนงบประมาณการทำห้องน้ำตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ รวม 10 แห่ง จำนวน 28 ล้านบาท ไปเป็นงบปรับปรุงภูมิทัศน์หน้าศาลหลักเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี ซะฉิบ
7. หลักฐานชี้ชัดแบบนี้จะให้แก้ตัวอย่างไรกันดี ผู้รู้โปรดแนะ????

ที่ตอนนี้ต่างประเทศที่เป็นคู่แข่งขันก็คงจะยิ้มจนแก้มปริและโกยนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในช่วงเวลาที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังพาหลานลูกพี่เที่ยว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น