รายงานการสังเกตุการณ์การท่องเที่ยว โซล เกาหลี
1. ส่วนที่เกาหลีสร้างจุดเด่นขึ้นมาไม่น้อยหน้าที่อื่น คือการ โปรโมท การใช้สินค้าเกาหลี นักท่องเที่ยวมากมาย(เป็นคนไทย) เดินทางมาเพื่อกิน นอน และก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ ตามแบบ ชม แชะ ฉี่ ช้อป
หลังจากได้แอบชมหลากหลายมุมของกรุงโซลที่ไม่มีคนรู้มาแล้วก็ถึงเวลาช้อปปิ้งซื้อข้าวของมาฝากผู้คนทางบ้าน
1.1 ตลาดที่เกาหลีก็ไม่ได้ต่างจะตลาดบ้านเรานักถ้าไม่นับตัวสินค้าที่มันขาย...แน่นอนว่าที่เกาหลีไม่มีของกินแหล่มๆรสจี๊ดจ๊าด และไม่ค่อยวางพรึ่บแบบบ้านเรา (เค๊ามีเป็นหย่อมๆ)
มีสาลี่หัวเด็กที่ฟังจากชื่อเรียกก็คงจินตนาการกันออกว่าไซส์มันขนาดไหน ที่ไม่เห็นคือสตรอเบอรี่มหัศจรรย์ที่ว่าโตนักหนานั่นแหละ-เท่ามือ
1.2 เมืองที่อยู่แถวๆตลาด..หรือจะพูดให้ถูกก็คือตั้งตลาดไว้ใกล้ๆประตู.ชื่อว่าอะไรซักอย่างที่เป็นแซ่คนใหญ่คนโตที่นั่น ตามด้วย"แดมุน" หรือ 大门….อัน 大 แปลว่าใหญ่ และ 门 แปลว่าประตู…//(ที่ใช่ตัวจีนเพราะไม่มีความสามารถด้านภาษาเกาหลี และบนประตูมันก็ใช้ตัวจีนด้วย)
- เรื่องของเรื่องก็คือมันมีประตูอย่างนี้ทั่วไปหมดเหมือนที่เคยอ่านมาจริงๆ
- ตลาดทีว่านี้ นอกจากผลไม้ตระการตาแล้วยังมีร้านอาหารรถเข็นข้างทาง
- ไอ้ที่หมายว่าจะดู คือ ขายอาหารทะเลแบบประสงค์ตัวใดก็จิ้มแล้วก็ช้อนมาปรุงกันสดๆ โดยกรรมวิธี เพียงช้อนน้องหมึกหมดบุญใส่ชาม จิ้มน้ำจิ้มเล็กน้อย แล้วก็สูดปรืดกันเข้าไปเลยอย่างที่เจอในเน็ตไม่มีบุญได้เห็น แต่มีเต้าหู้บ้างเหี่ยวบ้างพองเสียบไม้จุ่มในน้ำร้อน พร้อมน้ำจิ้มแดงๆอยู่ในถาดข้างๆ ใครใครกินก็จ่าย-จุ่ม-จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ย้ำ กัด จุ่ม –จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ในถาดเดิม.อ้อก...
1.3 โอกาสไปเยียมเยือนCenter Pointของเกาหลี(ซึ่งจำชื่อไม่ได้อีกแล้ว)ก็อย่างว่ามันก็เหมือนCenter Point ที่ใหญ่กว่าคนเยอะกว่า ของก็เยอะกว่า กว้างขวางกว่าเหลียวซ้ายแลขวา ก็เจอPosterคนหน้าคุ้น อันได้แก่บรรดาดาราเกาหลีที่โด่งดังมากมายในบ้านเราไม่ใช่ในเกาหลีเพราะ...มันเอาไว้ขายคนไทยไง
- ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เดินไปทางไหนก็คอยฟังดีๆเถอะจะได้ยินภาษาไทยที่คุ้นหูดังลอยมาแน่ๆ
2. เรื่องตอนขึ้นเครื่องกลับ
ทัวร์ไทยขนาดใหญ่ กว่า 30 ชีวิต กลับเมืองไทยด้วยเสียงอันไม่มีการลดระดับ อีกหน่อยคงติดอันดับ นักท่องเที่ยวที่ไม่มีประเทศไหนต้องการ ชิงจากจีน.//////////////
มีเกาหลีมาเมืองไทยหลายคน มารยาททรามของคนที่มี..เป็นเกาหลี (มันทำหน้าภูมิใจพรีเซ้นต์สุดๆ ขณะดำเนินการบางอย่างที่สตรีมิควร)ไม่ขอเอ่ย มันจะอ๊อก
3. อาหารการกิน
.ใครหนอบอกว่าดูแดจังกึมไปก็น้ำลายหกไป อาหารแต่ละเมนูแสนจะเริด1. หมูกะทะเกาหลี
กิน-ลองรสชาติต้นตำรับดูซักทีดูไปมันไม่เห็นเหมือนกันตรงไหนเลย เหมือนรูปเด๊ะเลย ตอนเจอยังนึกว่าฝัน
หลอกลวงกันนี่หว่า(ร้านบ้านเราอะหลอกลวงเห็นละครเกาหลีมาแรง อะไรเป็นเกาหลีหน่อยก็ขายดีทั้งนั้น……..ที่แสบสุด คือ เราโดนหลอกให้เราคิดว่าอาหารเกาหลีอร่อย)
มันอาจจะถูกปากคนบ้านเขาก็ได้ แต่คนไทยหลายคนยืนยันว่าไม่อร่อย หมูสไลด์สวย แผ่นเท่ากัน หมักในน้ำซีอิ๊วคล้ำๆ เนื้อมีมันตรงกลาง ย่างแล้วต้องรีบกิน อย่าให้ไหม้พอสุกรีบๆกินไม่งั้นเหนียว โฮให้มา1ชามหมู ต้องรีบกินอย่างว่า ไก๊ด์ก็รีบสั่งเพิ่ม โฮ มันจะอ๊อคคคค
รสชาดอาหาร... รสชาติก็แปลก จะว่าจืดก็ไม่ใช่ เผ็ดก็ไม่เชิง เค็มรึก็เปล่า หวานยิ่งไม่มีชัด(อันนี้เว้นบะหมี่ป๋อง เฮ้อ หวานชื่นจาย)
เอาเป็นว่าไม่อร่อยเลย แต่ก็จัดการกันจนหมดจดอย่างไม่น่าเชื่อ..เนื่องจากสูญพลังงานไปเยอะหลังจากไปอยู่ได้สามวันก็ตระหนักได้ว่าอาหารของต่างชาติไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เข้ามาขายในบ้านเรานั่นคือสิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้เข้ากับลิ้นคนไทยที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังกับอาหารใดๆในต่างประเทศ.......
โดยเฉพาะอาหารที่เคยกินที่เมืองไทยแล้วอร่อย
อย่าได้คิดว่าต้นตำรับจะอร่อยเหมือนกัน หรืออร่อยกว่าเลยที่เดียว
4. วังวนวังวนวัง วัง
อีกที่ที่ทัวร์ไทยนิยมไปกันก็คือเคียงบอกกุง- ไปถึงก็มีผู้คนยืนมุงกันอยู่หน้าประตู ซักช่วงบ่ายคล้อยแล้วก็มีเสียงกลองตุ้มๆ ถ้าเราถลาไปมุงทันจะเห็น.ทหารเขากำลังเดินแถวกันนี่เอง ไก๊ด์เราไม่บอกเลยอดดู ดีว่าแอบอ่านมาบ้างแล้วเลยไม่ด่ามัน (รอดไป ไอ้อ่อนเอ๊ยยย)
เข้าไปในประตูวังก็กะจะดื่มด่ำกับความเป็นเกาหลีเสียหน่อย บ๊ะทัวร์จีนรัวชัตเตอร์กันอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้เต็มไปหมด วันนี้มีฝรั่งบ้าง ดูแขกจะเยอะทั้งนักท่องเที่ยวและพวกเรสสิเด็นส์
แอบดูหน้านายทหารคนนั้น แล้วก็หลายๆคนด้วยเห็นทำหน้าเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเขาคงคิดเอือมๆอ่ะนะว่าไอ้พวกนี้จะเอาอะไรนักหนา ถ่ายรูปกันอยู่นั่นแหละ แต่ the show must go on,life depend on moneyนี่น่า แสดงดี
ตรงนี้เป็นบริเวณไกลสุดแล้วที่เจอคนไทย เพราะทัวร์ไทยจะรีบต้อนขึ้นรถ..ชักภาพคุ้มค่าทัวร์แล้ว หรือฟังไกด์พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ก็ม่ายรุ๊ เสียดาย เราไม่ได้เจอตึกกลางน้ำสำนักหมอหลวงของน้อง"แด"ผู้โด่งดัง ไม่รู้อยู่ไหน
5. ที่นี่ก็เป็นวังอีกเหมือนกันชื่อว่า ชางดอกกุง
เป็นworld heritageด้วย แต่ว่า ถ้าเป็นทัวร์ไทยจะไม่ได้พาไป…เพราะว่าเวลาเข้าไปจะต้องไปกับไกด์ของเขาเท่านั้น
แล้วก็จะมีเป็นรอบๆ รอบภาษาอังกฤษแต่ละรอบก็เลยเป็นกลุ่มใหญ่ๆ(เราไปรอบ 11.30 น. ซึ่งเดินหน้าตั้งเหมือนกันเพราะ มาทางรถใต้ดิน-งบน้อยหอยน้อยอ่ะ)
ไกด์คนสวยที่ทางที่นี่จัดไว้ให้ แจ๋วที่สุด ชอบมากๆ แม่นางคนนี้เป็นสาวเกาหลีที่สันทัดภาษาอังกฤษกว่าคนเกาหลีทั่วไป แถมยังมีมุกกระจายตามจุดต่างๆไม่ถึงกับฮาโคตร แต่ใช้ได้ บางทีก็แก้ไขเรื่องที่เข้าดูบางอาคารไม่ได้ หรืออื่นๆไป ดูน่ารักอีกต่างหาก
น่ารักในชุดประจำชาติและภาษาอังกฤษดีแล้ว เจ๊แกยังสามารถทักทายลูกทัวร์กลุ่มเล็กๆของเธอด้วยภาษาของแต่ละชาติได้อีกด้วย
บางคนไม่ค่อยได้ฟังที่ไกด์เขาพูดเท่าไหร่ เน้นถ่ยรูป บ้างก็เล่นมิวสิคส่วนตัวไป
จะว่าไปก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เพราะถ้าผ่าน จีน เวียตนามมาแล้ว พระราชวังก็มีแนวคิดการสร้างคล้ายกันไปหมด สนุกตรงกิมมิกการใช้น้ำร้อนอังอาคารให้อุ่น แอบดูชั้นใส่ความร้อน และความลับในสวนต้องห้าม..secret garden (แอบเรียกว่า second wife complex อย่าโกรธนา) สนุกดี
ตอนที่ไปก็มีแต่ต้นไม้เปลี่ยนสีสวยมาก อยากเดินอีก 2 วันให้อิ่มไปเลย
ปีนี้ใบไม้ร่วงเร็วกว่าเดิม ไก๊ด์บอกว่าเพราะ global warming น่ะ
ประตูนี้ไกด์เขาบอกว่าชื่อ Never get old ลอดแล้วจะไม่แก่………. ที่ไปลอดมาเนี่ยไม่ใช่ว่ากลัวแก่หรอกนะ มันไม่มีทางอื่นให้เดินน่ะ
(ประตูนี้มีจำลองอยู่ที่สถานีเกียงบอกกุงด้วยแต่คงขลังไม่เท่าของจริง)
พอเดินเข้าไปลึกสุดป่าก็มีที่ทางให้พักเหนื่อยแล้วก็วนกลับออกมา
ไกลเอาการ ถ้าไม่สวยและเย็นคงเหนื่อยขาลาก สำหรับคนที่เดินชมนกที่ไม่ค่อยมีและชมไม้หลากสีอย่างสบายอารมณ์ก้อคงจะไม่มีทีท่าจะเหนื่อยแม้แต่น้อย
6. EVERLAND
วันที่ 3 จบอาหารเช้า(แบบเผื่อเที่ยง) ที่โรงแรมเสร็จก็เผ่นออกมาทันที.บ้านไกลเวลาน้อย ต้องรีบเที่ยวให้คุ้ม
ระยะทางก็ห่างจากตัวเมืองไปเล็กน้อย แค่นั่งรถหรือรถเมล์ไปชั่วโมงครึ่งก็ถึง แค่ตอนนั่งรถมาก็สนุกแล้ว จากที่ถามๆถ้ามารถเมล์มันจะพาขึ้นเขา โยกซ้ายย้ายขวาพอเมาจนได้ที่ก็ถึงพอดี
6.1 สวนสนุกที่ว่ามันกินพื้นที่บนเขาขนาดย่อมๆไปสองลูก
รีบลงจากรถอันแสนร้อนก็ได้ปะทะลมจากภูเขา ทำเอาผงะไปเล็กน้อย
6.2 ก่อนถึงทางเข้าจะมีเต็นท์ที่ห่อด้วยพลาสติกกันลมเหมือนร้านบะหมี่ในละครตั้งอยู่-เป็นpicnic area ข้างในมีตู้ขายpopcornขายน้ำอยู่เยอะเลย-คนที่นี่เขานิยมข้าวกล่องกัน
o ไม่เหมือนบ้านเรา เปิดโอกาสให้ร้านอาหารตามสถานที่ท่องเที่ยวขูดรีดเอา
6.3 ไปก็เจอพนักงานตามซุ้มต่างๆยืนสั่นมือ (ที่จริงควรจะโบกมือรึเต้นโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงสวนสนุกมั๊ง แต่ลดระดับเหลือสั่นมือ เหมือน ไม่มี ของหมดแล้ว ไงงั้น)………
** อย่าได้หันไปสบตาเข้าเชียว …เขาและเธอเหล่าจะโบกไม้โบกมือ พร้อมทั้งตะโกนโหวกเหวก ประมาณว่า สวัสดี หรือยินดีต้อนรับ(มั้ง) เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง ไม่ว่าจะซื้อของ หรือเล่นเครื่องเล่นนั้นหรือไม่
เดินๆไปซักพัก เริ่มชิน นึกสนุกโบกมือตามเขาไปบ้าง
ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือ พนักงานกวาดพื้นนอกจากจะแต่งตัวน่ารักน่าเอ็นดูตามconceptแล้ว ยังใส่โรลเลอร์เบลดวิ่งไปวิ่งมา ถ้าพบเห็นเศษ ซากอะไรหล่นลงมาพี่แกจะแถ.ถ.ถ.แถ..ถลามากวาดเศษซากนั้นไปทันที
6.4 ส่วนของเล่นทั้งหลาย มันก็มีเครื่องเล่นประเภทเหวี่ยงไปเหวี่ยงมานั่นแหละ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับดีกรีของแต่ละอัน อย่างว่า สวนสนุกมันตั้งบนเขา เขาจะเริ่มต้นการเที่ยวด้วย
1) เกาอี้ลอยฟ้า ไม่น่ากลัว ที่ตาข่ายรอง(ตาข่ายดูใหม่ดี)
2) ส่วนของสวนสัตว์ประทับใจมาก เห็นหมีตัวโต โตจริงๆยืนขึ้นมาทีสูงเท่าขอบกระจกด้านบนของบัส!!!~
ที่จริงในส่วน zootopia ก๊มีหมีขาวกับเพนกวินอาบแดดไม่ต้องอยู่ในห้องแอร์แบบตอนมาอยู่บ้านเรา คนที่แวะเข้าไปจะได้เกาะตู้ดูแมวน้ำว่ายน้ำแบบใกล้ชิด ได้วิ่งเล่นกับบรรดาแพะแกะจริงๆก็ไม่ใช่วิ่งเล่นหรอก เห็นใครถือกล่องอะไรมันก็จะคิดว่าเป็นกล่องของกิน วิ่งตามกันเป็นพรวนเลย น่ากลัวดี มันคงจะคุ้นกับคน แบบสัตว์ที่สูยเสียความเป็นสัตว์น่านแหละ
3) อีกส่วนก็จะเป็นสวนดอกไม้ ใกล้ๆส่วนรีสอร์ต ไม่ได้แวะเพราะถ่ายรูปกับดอกไม้ไม่ไหว ไม่อยากข่มมัน!?!?!?!
ปู๊นนน 14.30 น. .... หมดเวลา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
7. Transportation
การคมนาคมสายหลักของที่นี่คือรถไฟฟ้า และการเดินทางส่วนใหญ่จะไปโดยรถไฟฟ้ามันจึงมีเรื่องให้เม้าท์เยอะเลย
7.1 อย่างแรกก็คือ รถไฟฟ้าที่นี่มีหลายสายมากๆเป็นเครือข่ายทั่วไทยโยงใยทั่วโลก เอ๊ยไม่ใช่ เป็นเครือข่ายทั่วโซลและถึงแม้จะเรียกมันว่าsubway แต่มันไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ใต้ดินเท่านั้น ทั้งใต้ดินลอยฟ้า ระดับเดียวกับดิน เชื่อมถึงกันหมดโดยไม่ต้องออกจากสถานี
7.2 ไม่ว่าจะซอกหลืบไหน เข้ามาในรถไฟอะ หลงไปหลงมาก็เจอเอง
7.3 เวลาจะเปลี่ยนสายรถก็มึนๆ ไม่รู้ว่าจะต้อง ขึ้นตรงไหน ลงตรงไหน ขึ้นรถขบวนไหน มันมีเยอะเหลือเกิน
o บางสถานีโดยเฉพาะสายเก่าๆมันไม่มีกระจกกั้นแบบMRT-เป็นแบบเปิดโล่ง รถไฟมาแต่ละทีก็จะสัมผัสได้ถึง
o ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือตัวรถมันนี่แหละ ด้วยขบวนจะยาวเหยียด ไม่รู้กี่ตู้ ไม่ได้นับ ดูวีทีอาร์บอกประมาณว่าพอประตูมันนึกจะปิดก็ปิด มิใยว่าใครจะถูกหนีบ
7.4 อีกอย่างที่รถไฟฟ้าที่นี่ต่างจากบ้านเราก็คือ..ทั้ง BTS และ MRT ไม่ให้เอาของกินเข้าไป..ไอ้เราก็นึกว่ามันจะเหมือนกัน ทำตัวเป็นคนดี..ทนหิวน้ำอยู่ตลอดทางครึ่งค่อนเมือง
7.5 ที่สถานีที่จะลงก็เห็นตู้ขายของอัตโนมัติตั้งอยู่.มีหมดเลยทั้งน้ำชากาแฟ ขนมนมเนย แถมส้วมด้วย ว้าวว้าวววว
7.6 สถานีรถไฟฟ้าที่นี่จะทีการตกแต่งต่างกันไป ถ้าเป็นสถานีที่จะไปวัง จะมีลาย รูป หรือเป็นศิลปินมาแปะงานโชว์ทั่วสถานีไปหมด
กลับมาบนถนนกันบ้าง
7.7 มีแต่รถยี่ห้อเกาหลี รุ่น-ยี่ห้อที่ไม่ค่อยเห็นในบ้านเรา
7.8 ส่วนรถเมล์ไม่ได้ขึ้น
7.9 ถนนช่วง 5-6 โมงรถยังติดมหากาฬ ขึ้นแม็กซี่แทบหมดตัว ยืนยันว่าติดกว่าบ้านเราอีก ขนาดคนส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้ากันนะนั่น
7.10 แท็กซี่ก็เป็นมิเตอร์ธรรมดาก็มี เริ่มที่ 2400 วอน ต่างกันตรงที่เวลามิเตอร์จะขึ้นมันจะcount downตามล้อหมุน…วิ่งเร็วก็count downเร็ว วิ่งช้าก็ช้า พอรถหยุดก็เร็วอีก
ข้อดีของแท็กซี่ที่นี่ก็คือมันรู้ตัวว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ เขาก็มีcall centerบริการล่ามฟรี คุยกับแท็กซี่ให้ ไม่เหมือนบ้านเรา ติดสติกเกอร์ว่า I love farang เอาเข้าจริงก็ไม่แน่ โธ่เอ๊ย
ที่สาปส่ง คือมันไม่รู้จักที่พักแต่ดันรับเราขึ้นไปวนครึ่งเมือง เสียไปเกือบ หมื่นวอน..
ฮึ่มมม!!วอนแท้แท้
++++++++++++++++++++++++++++
The End of Part 1
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
รายงานการสังเกตุการณ์การท่องเที่ยว โซล เกาหลี
ป้ายกำกับ:
การท่องเที่ยว,
กิมจิ,
เกาหลี,
โซล,
รายงาน,
วัง,
เอเวอร์แลนด์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น