เค๊า ว่างานที่สอบได้ต่ำ..เลยสงสัยว่าคนสมัยนี้เอาอะไรมาวัด มันจะติดค่านิยมอะไรกันนัก
การทำงานคือการเพิ่มความสามารถของคน โดยได้มาจากการศึกษา แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าการศึกษากระตุ้นจริยธรรมคนไม่ได้ ว่าแต่จบที่ไหนมาเนื่ย ยัยวอ-รา-นัซ
PANTIP.COM : L8658567 === ตัดสินใจไม่ถูก ได้งานที่ต่ำต้อยมากๆ (ททท.) จะไปทำดีไหม === [ปัญหาสุขภาพจิต]
วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ไม่หวั่นไหว
พระอโษภยพุทธเจ้า
(Aksobhya Buddha)
พระหฤทัยคาถาประจําพระองค์
โอม อะโษภยะ หูม หูม ผฏ
พระพุทธเจ์าพระองค์นี้มีพระนามแปลว่า ไม่หวั่นไหว ด้วยไม่โทสะและ
ไม่อาฆาต โดยทรงมีอีกพระนามหนึ่งว่า “พระอจลตถาคต” แปลว่า
พระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว ในคัมภีร์มหารัตนกูฏสูตร กล่าวว่า “เนื่องจากสมัยที่ทรง
เริ่มมีพระโพธิจิต ทรงมีวิริยภาพเป็นที่สุด และมิเคยเกิดโทสะเคืองโกรธต่อบรรดา
สรรพสัตว์เลย แลโทสะนั้นก็มิอาจทําให้พระองค์หวั่นไหวได้” จึงเป็นเหตุแห่งพระนาม
นี้
พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ของนิกาย
วัชรยาน และทรงประทับอยู่ทางทิศตะวันออก มีพระวรกายสีน้ำเงินเข้ม ประทับนั่งท่า
มารวิชัย อันมีความหมายว่าทรงชนะมารทั้งปวง หรือบ้างก็ให้เหตุผลว่าการที่ทรงแตะ
พระดัชนีเบื้องพระหัตถ์ขวาลงที่แผ่นดิน เรียกว่า ปางภูมิสปรศมุทรา หมายถึงความ
มั่นคง มิหวั่นไหวซึ่งเป็นนัยยะตามคุณสมบัติแห่งนามของพระองค์เอง และทรงมีพระ
มหาโพธิสัตว์สาวกในวัชรธาตุมณฑล ๔ พระองค์คือ ๑.วัชรสัตว์โพธิสัตว์ ๒.วัชรราชา
โพธิสัตว์ ๓.วัชรราคโพธิสัตว์ ๔.วัชรสาธุโพธิสัตว์
ตามอรรถของคัมภีร์ทางคุยหยาน(ยานลึกลับ ต่อมาเรียกอีกชื่อว่า
วัชรยาน) กล่าวว่าพระอโษภยพุทธเจ้า เป็นองค์แทนของโพธิจิตที่แข็งแกร่งมิหวั่นไหว
แสดงถึงพระมหาปัญญาญาณที่เปรียบเทียบกับกระจกเงาบานใหญ่ สามารถส่อง
สะท้อนถึงมูลภาวะโพธิจิตเดิมที่บริสุทธิ์ได์ และทรงมีพระโพธิสัตว์ประจําพระองค์อีก
คือ พระวัชรปาณิโพธิสัตว์ และพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์
อ้างถึง คัมภีร์กรุณาปุณฑริกสูตร และคัมภีร์มหารัตนกูฏสูตร ที่ว่า
“พระอโษภยพุทธเจ้าเมื่ออดีตชาติเคยเสวยพระชาติเป็นราชบุตร และเป็นภิกษุ ทรงได้
ประกาศมหาปณิธานเฉพาะเบื้องพระพักตร์แห่งพระรัตนครรภ์พุทธเจ้า
และพระวิรูปักษ์พุทธเจ้าตามลําดับ ว่าจักทรงชําระพุทธเกษตร โปรด
สรรพสัตว์ โดยประกาศพระมหาปณิธานไว้ ๒๐ ประการ ดังนี้…
๑. สรรพกุศลที่บําเพ็ญทั้งหมดขออุทิศแด่พระโพธิญาณ
๒. จักมิบังเกิดจิตโกรธแค้นต่อสรรพสัตว์
๓. สรรพวจีและมโนระลึกจักมีโยคะต้องกันกับพระพุทธะทั้งปวง
๔. จักมิเกิดจิตของสาวกและปัจเจกโพธิ
๕. ขอให้ทุกชาติได้ออกบวชเพื่อบําเพ็ญธุดงควัตร
๖. มีปฏิภาณไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้นในการแสดงธรรม
๗. จักบําเพ็ญในอิริยาบทยืน เดิน นั่งทั้ง ๓ ประการโดยนิจศิล
๘. จักมิละเมิดในกรรมอันเป็นมูลฐาน
๙. จักมิเลื่อมใสในมิจฉาศาสตร์นอกรีต
๑๐. จักบริจาคทรัพย์เป็นทานด้วยจิตที่เสมอภาพ
๑๑. เมื่อพบสรรพสัตว์ต้องอาญาประหารชีวิต จักขอวางเฉยในชีวิตของตนเพื่อปกป้องชีวิตสัตว์อื่น
๑๒. แสดงธรรมต่อสตรีด้วยสัมมาจิตที่ตั้งมั่นดีงาม
๑๓. มิกล่าวแสดงซึ่งความผิดและความชั่วของพุทธบริษัท ๔
๑๔. ได้พบโพธิสัตว์ผู้บําเพ็ญจริยา ก็ให้มีจิตคารวะดุจพบพระพุทธองค์
๑๕. มิเกิดราคะแม้ในความฝัน
๑๖. เมื่อคราสําเร็จพระพุทธญาณแล้ว ขอให้โลกธาตุวิสุทธิอลังการบรรดาสาวกล้วนแล้วไร้ซึ่งความพลาดผิด
๑๗. บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแห่งนั้น ที่ได้ออกบวชในจิตมิเกิดราคะแม้ในความฝัน
๑๘. บรรดาสตรีในโลกธาตุแห่งนั้น ไร้ซึ่งมลทินและความพลาดผิดทั้งปวง
๑๙. บรรดาโพธิสัตว์ทั้งปวงในโลกธาตุแห่งนั้นเมื่อได้สดับฟังธรรมแล้ว จักได้น้อมรับปฏิบัติ และสมบูรณ์ในธรรมกาย
๒๐.ในโลกธาตุแห่งนั้นตัดขาดสิ้นจากการกระทําของมาร และมิอาจกระทบจิตใจได้
พระอโษภยพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาปณิธานที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งยิ่งนัก ดังมีคําอธิฐานหนึ่งของพระองค์ในคัมภีร์อาคมสูตรว่า “สมมติว่าอากาศจะมีสภาพที่แปรเปลี่ยนไป แต่ปณิธานของเรานั้นล้วนจักมิเสื่อมถอยย้อนกลับ” มีนัยยะ…………….ว่าความตั้งพระทัยของพระองค์จักมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากสภาวะของอากาศที่สามารถแทรกซึมไปได้ในทุกสรรพสิ่ง ไร้สี ไร้กลิ่นก็มีสภาพอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แล้วจะกล่าวไปไยกับพระปณิธานของพระองค์
ในพระสูตรมหายานเล่มเดียวกัน กล่าวไว้ว่า “พระรัตนครรภ์พุทธเจ้าและพระวิรูปักษ์พุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ล้วนแต่ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาลจะได้สําเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า “อโษภยะ” เหตุด้วยทรงมีพระคุณธรรมคือความมิ
โกรธเคืองและมิไหวหวั่น
พระอโษภยทรงดําเนินพระจริยา ในการมิทําร้ายสรรพสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ ที่มีบ่อเกิดมาจากความโกรธ อีกทั้งจักทรงสั่งสอนสรรพสัตว์จนถึงที่สุด จักทรงยังให้สรรพสัตว์ได้สมปรารถนา และวางเฉยในความโกรธ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
• ลูกหลานของหลวงปู่จะมีความเห็นแก่ตัวไม่ได้มีทิฐิถือตัวถือตน มียศมีศักดิ์หยิ่งยโสไม่ได้
• เพราะถ้ายังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ เขาจะเข้าถึงสัจธรรม คุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมไม่ได้
• คนคับแคบ เย่อหยิ่ง จองหอง ยโส รอวันตายอย่างเดียว
• กลิ่นอายและรสชาติถ้อยคำของผู้มีความจริงใจ จะผิดกับกลิ่นอายของผู้ไม่จริงใจ มีแต่มารยา วิชาการ ผิดกันราวกับฟ้าและเหว
• ขอเพียงพวกท่านมีความจริงใจ มีความเป็นธรรมชาติ ท่านจะได้เป็นพระโพธิสัตว์
• เป็นลูกหลานของชาวศากยะ ดูอย่างพระพุทธเจ้าเป็นที่รักของเทวดาพรหม มาร เปรต และอสุรกาย ทรงยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคนและของตัวเอง ดังนั้น จงให้เขาก่อนแล้วจะได้รับ
- โพธิจิต โพธิวิถี โพธิธรรม หลวงปู่พุทธะอิสระ -
อิ่ม อร่อย สุพรรณยกโคตร วางไลน์ กินรายได้ทั้งรายหัว รายเดี่ยว รายตรง
สำหรับเหตุผลที่จะผลักดันให้บุตรชายเข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรี เนื่องจากตนเองเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 ครั้ง และต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานบ้าง แต่คงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรคชาติไทยพัฒนาจะพิจารณา อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการหารือกับหัวหน้าพรรค และมั่นใจว่าบุตรชายจะสามารถทำหน้าที่รัฐมนตรีได้ และแม้ตนจะลาออกจากรัฐมนตรีแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็น ส.ส.และที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาต่อไป
พล.ต.สนั่น แสดงความเห็นว่า ในขณะนี้รัฐบาลยังคงสามารถทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปได้ เพราะมีผลงานให้เห็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพียงแต่อาจจะติดขัดจากปัญหาทางการเมืองอยู่บ้าง
++++++++++++++++++++
ไม่เห็นด้วย ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี หลังการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชายเป็นรัฐมนตรีแทน
"การที่ พล.ต.สนั่น ประกาศจะวางมือ แล้วให้ลูกชายมารับช่วงแทน ทำให้มองว่า การเมืองเป็นมรดกพินัยกรรม พล.ต.สนั่น ควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป หากจะสนับสนุนให้ลูกชายเป็นรัฐมนตรี ก็ควรรอหลังการเลือกตั้งสมัยหน้าจะเหมาะสมกว่า
+++++++++++++++++++++++++
อย่าลืมผลงานของรมว.กก คนเดินนี้เป็นอันขาด ว่าฮอตขนาดไหน เพราะเป็นฮอตไลน์สายตรงจากหอบรรหารคอยแจ่มใส ณ สุ1000-Buri …………..มันมีความเดิม ตามท้องเรื่องพัวพันกะเด็ก ททท.อยู่ละก๊า
บอร์ดททท.เมินกมธ.ท่องเที่ยว เรื่องที่ไม่จบ รึว่า Never Ending Story .y.y.y..y เมื่อวันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2552พลันที่หนังสือพิมพ์มติชน ตีพิมพ์ข่าวพาดหัวหน้าเศรษฐกิจ
“บอร์ด ททท. เมินเสียง กมธ.ท่องเที่ยว แนะชะลอโยกย้ายระดับบิ๊ก”
เฉกเช่นหนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี.ผู้จัดการ พาดหัวข่าวเซคชั่นเศรษฐกิจว่า “ ชุมพลซุกคำสั่ง กมธ. ยับยั้งมติบอร์ด ททท.”
//**// สรุปหนังสือชะลอและยับยั้งการดำเนินการตามมติคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหาร ททท. ว่า
1. การแต่งตั้งผู้บริหารส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของบุคลากรและองค์กร โดยมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ส่งผลให้การส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวมีอุปสรรค
2. จึงมีมติให้ชะลอและยับยั้งการแต่งตั้งผู้บริหาร ททท.ไว้ก่อน เพื่อ ป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ และ
3. เพื่อสร้างความเข้าใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาดำเนินการตาม ครรลองหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป
วันนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของพรรคชาติไทยพัฒนา of นายบรรหาร ศิลปอาชา
× อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หนังสือคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาที่ลงนามโดยนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการและวุฒิสมาชิกเลือกตั้งจากจังหวัดภูเก็ต
ถูกส่งผ่านเข้ามือของนายยุทธพล อังกินันท์ ( ลูกชายของนายยุทธ อังกินันท์ อดีตรัฐมนตรีและผู้แทนราษฎรและนางบุปผา อังกินันท์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเพชรบุรี และแกนนำของพรรคชาติไทยพัฒนา)
ก่อนที่นายยุทธพลจะบันทึกเสนอต่อนาย ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในฐานะประธานบอร์ด ททท.
ความว่า**ฯพณฯรมว.กก.มีบัญชาส่ง คกก.ททท.พิจารณาและแจ้งผลให้ทราบด้วยลงวันที่ 21 ตุลาคม 2552
× **เป็นหนังสือที่นายประเสริฐ วรพิทักษ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและคณะร้องขอความ เป็นธรรมจากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา เพราะเห็นว่า
A. - ไม่น่าจะพึ่งพาอาศัยความเป็นธรรมได้จากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา ของสภาผู้แทนราษฎรที่.........มีนายทศพร เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตเป็นรองประธานกรรมาธิการ
ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า สาระสำคัญของหนังสือที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่งไปมีทั้งสิ้น 3 ประเด็นหลัก นั่นคือ
1) ประเด็น ที่หนึ่ง การผลักดันท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น มีความคืบหน้าเพียงใดและใส่ใจในการดำเนินการแค่ไหน เพราะรัฐบาลมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเป็นผู้กำหนดนโยบายการท่องเที่ยวของประเทศแต่เพียงลำพัง ทั้งนี้การเป็นวาระแห่งชาติจะต้องมีการบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆมากมาย
2) ประเด็นที่สอง ความล่าช้าของการสรรหาผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจของ ททท.ได้ไม่ตามเป้าหมาย เนื่องจากขาดผู้นำและส่งผลเสียต่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาประเทศ
3) ประเด็นที่สาม การแต่งตั้งและโยกย้ายนายอักกพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้านสินค้าการท่องเที่ยว (ว่าที่ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนใหม่ในตอนนั้น) ตามมติบอร์ดให้ขึ้นเป็นที่ปรึกษา 11 มีนัยแอบแฝงและมีการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณเป็น ไปโดยเบ็ดเสร็จ โดยให้นายอักกพล พฤกษะวัน พ้นทางการจัดการด้านงบประมาณเพราะตำแหน่งรองผู้ว่าการฯด้านสินค้าการท่องเที่ยว จะมีบทบาทด้านการใช้งบประมาณด้วย เมื่อไม่มีนายอักกพล อำนาจทั้งหมดจะอยู่ในกำมือรักษาการผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
4. ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า งบประมาณด้านการทำตลาดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในแต่ละปี มีจำนวนมหาศาลนับพันล้านบาท ทั้งงบประมาณทางตรงและงบแอบแฝง
ย่อมเป็นที่ติดตาต้องใจของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่อยากจะเข้ามาแสวงหา
-- เพียงแค่การฉกฉวยการพิมพ์หนังสือเพื่อแจกจ่ายไปยังสำนักงานต่างประเทศของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีละนับร้อยล้านบาท หากสามารถเอาโรงพิมพ์ของตัวเองและพวกพ้องเข้าไปสวาปาม แค่นั่งกินนอนกินหัวคิวร้อยละ 30 นั่นเท่ากับว่าจะมีเงินใช้จ่ายในการเลือกตั้งหนหน้าได้อย่างสบาย
5. ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า การคืบคลานเข้ามาในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของพรรคชาติไทยพัฒนา ได้มีการวางตัวเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
นั่นคือมีการวางตัวให้
- นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- วางตัวนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวคนโปรดของนายบรรหาร ที่ถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาคนถัดไป เป็นผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ
- วางตัวนายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นรองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- แถมนายบรรหาร ศิลปอาชา ยังมีการวางตัวเอง เป็นนายกสภาสถาบันพลศึกษา เพื่อคุมสถาบันพลศึกษาทั่วประเทศและคุมงบประมาณของสถาบันพลศึกษาทั้งหมด
หาเพียงแต่เท่านั้นไม่
- ยังยอมแบ่งส่วนให้พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะหุ้นส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าผลักดันนายอรรคพล สรสุชาติ ซึ่งเป็นคนสนิทติดสอยห้อยตามพลตรีสนั่นมาตลอด คุม สปปน. เพื่อควบคุมการจัดประชุมและนิทรรศการอันเป็นองค์กรมหาชน
- โดยส่งนางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ อดีต รองอธิบดีกรมพลศึกษาที่มีความสนิทสนมกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ถึงขนาดอดีตทุกวันเสาร์จะต้องไปราชการเพื่อหารือข้อราชการกับนายบรรหารที่ สุพรรณบุรี มาเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- หาเพียงแต่เท่านั้นไม่ยังส่ง นายสมบัติ ครุภัณฑ์ อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาสุพรรณบุรี เข้ามาคุมสำนักงานพัฒนาการกีฬาและ นันทนาการซึ่งคุมงบประมาณการกีฬาในส่วนของสมัครเล่น และ
- ส่งนาย กนกพันธ์ จุลเกษม อดีตอุปนายกสมาคมแฮนด์บอลแห่งประเทศไทยคนสนิทของนายสมบัติเข้ามาเป็นผู้ว่า การการกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อคุมงบประมาณด้านกีฬาอาชีพทั้งระบบ
- แถมยังส่ง นายเสกสรร นาควงศ์ มือขวาคนสนิทอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนกีฬาสุพรรณบุรีและอดีตผู้อำนวยการ วิทยาลัยพลศึกษาสุพรรณบุรีเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว หนำซ้ำให้รักษาการปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทุกครั้ง แถมเมียของนายเสกสรรยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันพลศึกษาสุพรรณบุรี
- นั่นเท่ากับว่า วันนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของพรรคชาติไทยพัฒนาที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เข้ามาล้วงลูกกำกับโดยตรง
-- อย่าไปแปลกใจหากงบประมาณด้านการท่องเที่ยวจะไม่โผล่มาลงที่ภูเก็ต แม้นว่า
1) ภูเก็ตจะมีนางอัญชลี เทพบุตร แกนนำในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองสายนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายทศพร เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬาสภาผู้แทนราษฎร
- อย่าแปลกใจไปว่างบประมาณด้านการท่องเที่ยวและกีฬาไม่โผล่มาลงที่ภูเก็ต
2) แม้นว่า ภูเก็ตจะมีนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย วุฒิสมาชิกเลือกตั้งเป็นประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา และร้อยโทภูมิศักดิ์ หงส์หยก วุฒิสมาชิกสรรหาเป็นรองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา………….นั่นเท่ากับว่า
นายบรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่แยแส ไม่เห็นหัว และไม่ให้ราคาค่างวดต่อ 4 นักการเมืองจังหวัดภูเก็ตที่มีบทบาทในรัฐบาลและในรัฐสภา แม้แต่นิดเดียว อย่าว่ากระไรเลย ไหนเลยมันจะเห็นหัวพนักงาน แล้วยังจะไปเลียขนมังกรมันอี๊กกกก
มีลูกอายลูกมีหลานอายหลาน ขอให้มันหูหนวกปากเบี้ยวตาบอดละกันจะได้ไม่ต้องเห็นลิ้นบรรพบุรุษมันลงยาทาชแล็คแถมขนติดด้วยยยยย
3) **ไม่ให้ราคาถึงขั้นที่..
.ไม่ยอมเอาหนังสือของนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาที่ลงนามตามมติของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาทั้งคณะ เข้าสู่ที่ประชุมของบอร์ดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ทั้งที่นายยุทธพล อังกินันท์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยพัฒนาจังหวัดเพชรบุรี มีหนังสืออ้างบัญชาของนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หากเฟ้นค้นงบประมาณด้านการท่องเที่ยวและกีฬาที่นอกเหนือจากงบประมาณแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า งบไทยเข้มแข็งไม่มีโผล่ลงมาพัฒนาภูเก็ตแม้กระทั่งจะส่งเสริมด้านการตลาดให้กับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต
เสมือนหนึ่งชาวภูเก็ตทั้งจังหวัดไม่อยู่ในสายตาของพรรคชาติไทยพัฒนาและนายบรรหาร ศิลปอาชา แม้นว่าในอดีตจังหวัดภูเก็ตจะเคยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยนามเรวุฒิ จินดาพล ประดับพรรคชาติไทยก็ตาม
วันนี้ประธานและรองประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา ที่มาจากวุฒิสมาชิกเลือกตั้งและสรรหาจากจังหวัดภูเก็ต ไร้น้ำยา ราดขนมจีน( คงเหลือแค่ น้ำซีอิ้วก้นขวดราดขนมจีนแทนน้ำยา )
ทั้งที่สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาในเรื่องนี้ โดยตั้งรองประธานกรรมาธิการคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่
ฤๅ วันนี้ รองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งสภาผู้แทนราษฎรที่คนภูเก็ตเท คะแนนเสียงให้เข้าไปทำหน้าที่ปากเสียงในสภาผู้แทนราษฎรจะไร้น้ำยา น้ำพริก กระทั่งน้ำซีอิ้วคลุกขนมจีน
ชาวบ้าน ภาคเอกชน และนักลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตจะหวังพึ่งอะไร
นอกจากไปจุดธูปขอท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร...หลวงพ่อแช่ม...เพื่อให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตแทนที่จะไปนั่งรอผู้ทรงเกียรติทั้งสี่แห่งรัฐสภาและรัฐบาล กระมัง?
** ย้ำนายบรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นหัว และไม่ให้ราคาค่างวดต่อ 4 นักการเมืองจังหวัดภูเก็ตที่มีบทบาทในรัฐบาลและในรัฐสภา แม้แต่นิดเดียว อย่าว่ากระไรเลย ไหนเลยมันจะมาแยแส รึเห็นหัวพนักงาน
แล้วยังจะไปเลียขนมังกรมันอี๊กกกก ………..มีลูกอายลูกมีหลานอายหลาน ขอให้มันหูหนวกปากเบี้ยวตาบอดละกันจะได้ไม่ต้องเห็นลิ้นบรรพบุรุษมันลงยาทาชแล็คแถมขนติดด้วยยยยย
=ช่วยตอบบรรยากาศการหายใจใต้อุ้งตีน.......ว่าหายใจสะดวกดี ไหม(นอกจากแสบลิ้นที่ทั้งเลีย ทั้งโก่งคอหอนรับแล้ว) ร่างกายปกติดีหรือ ( อ้อ ยกเว้นเรื่อง กระเป๋าและ statement เมีย-กิ๊ก ที่ปรี่แล้ว ที่เหลือมันสัญญาลมปากโว้ย)
• กลิ่นอายและรสชาติถ้อยคำของผู้มีความจริงใจ จะผิดกับกลิ่นอายของผู้ไม่จริงใจ มีแต่มารยา วิชาการ ผิดกันราวกับฟ้าและเหว
• ขอเพียงพวกท่านมีความจริงใจ มีความเป็นธรรมชาติ
• ท่านจะได้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นลูกหลานของชาวศากยะ ดูอย่างพระพุทธเจ้าเป็นที่รักของเทวดาพรหม มาร เปรต และอสุรกาย ทรงยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคนและของตัวเอง
พล.ต.สนั่น แสดงความเห็นว่า ในขณะนี้รัฐบาลยังคงสามารถทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปได้ เพราะมีผลงานให้เห็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพียงแต่อาจจะติดขัดจากปัญหาทางการเมืองอยู่บ้าง
++++++++++++++++++++
ไม่เห็นด้วย ที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี หลังการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อให้นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชายเป็นรัฐมนตรีแทน
"การที่ พล.ต.สนั่น ประกาศจะวางมือ แล้วให้ลูกชายมารับช่วงแทน ทำให้มองว่า การเมืองเป็นมรดกพินัยกรรม พล.ต.สนั่น ควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป หากจะสนับสนุนให้ลูกชายเป็นรัฐมนตรี ก็ควรรอหลังการเลือกตั้งสมัยหน้าจะเหมาะสมกว่า
+++++++++++++++++++++++++
อย่าลืมผลงานของรมว.กก คนเดินนี้เป็นอันขาด ว่าฮอตขนาดไหน เพราะเป็นฮอตไลน์สายตรงจากหอบรรหารคอยแจ่มใส ณ สุ1000-Buri …………..มันมีความเดิม ตามท้องเรื่องพัวพันกะเด็ก ททท.อยู่ละก๊า
บอร์ดททท.เมินกมธ.ท่องเที่ยว เรื่องที่ไม่จบ รึว่า Never Ending Story .y.y.y..y เมื่อวันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2552พลันที่หนังสือพิมพ์มติชน ตีพิมพ์ข่าวพาดหัวหน้าเศรษฐกิจ
“บอร์ด ททท. เมินเสียง กมธ.ท่องเที่ยว แนะชะลอโยกย้ายระดับบิ๊ก”
เฉกเช่นหนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี.ผู้จัดการ พาดหัวข่าวเซคชั่นเศรษฐกิจว่า “ ชุมพลซุกคำสั่ง กมธ. ยับยั้งมติบอร์ด ททท.”
//**// สรุปหนังสือชะลอและยับยั้งการดำเนินการตามมติคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหาร ททท. ว่า
1. การแต่งตั้งผู้บริหารส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของบุคลากรและองค์กร โดยมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ส่งผลให้การส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวมีอุปสรรค
2. จึงมีมติให้ชะลอและยับยั้งการแต่งตั้งผู้บริหาร ททท.ไว้ก่อน เพื่อ ป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ และ
3. เพื่อสร้างความเข้าใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาดำเนินการตาม ครรลองหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป
วันนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของพรรคชาติไทยพัฒนา of นายบรรหาร ศิลปอาชา
× อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หนังสือคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาที่ลงนามโดยนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการและวุฒิสมาชิกเลือกตั้งจากจังหวัดภูเก็ต
ถูกส่งผ่านเข้ามือของนายยุทธพล อังกินันท์ ( ลูกชายของนายยุทธ อังกินันท์ อดีตรัฐมนตรีและผู้แทนราษฎรและนางบุปผา อังกินันท์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเพชรบุรี และแกนนำของพรรคชาติไทยพัฒนา)
ก่อนที่นายยุทธพลจะบันทึกเสนอต่อนาย ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในฐานะประธานบอร์ด ททท.
ความว่า**ฯพณฯรมว.กก.มีบัญชาส่ง คกก.ททท.พิจารณาและแจ้งผลให้ทราบด้วยลงวันที่ 21 ตุลาคม 2552
× **เป็นหนังสือที่นายประเสริฐ วรพิทักษ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและคณะร้องขอความ เป็นธรรมจากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา เพราะเห็นว่า
A. - ไม่น่าจะพึ่งพาอาศัยความเป็นธรรมได้จากคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา ของสภาผู้แทนราษฎรที่.........มีนายทศพร เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตเป็นรองประธานกรรมาธิการ
ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า สาระสำคัญของหนังสือที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่งไปมีทั้งสิ้น 3 ประเด็นหลัก นั่นคือ
1) ประเด็น ที่หนึ่ง การผลักดันท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น มีความคืบหน้าเพียงใดและใส่ใจในการดำเนินการแค่ไหน เพราะรัฐบาลมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเป็นผู้กำหนดนโยบายการท่องเที่ยวของประเทศแต่เพียงลำพัง ทั้งนี้การเป็นวาระแห่งชาติจะต้องมีการบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆมากมาย
2) ประเด็นที่สอง ความล่าช้าของการสรรหาผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามภารกิจของ ททท.ได้ไม่ตามเป้าหมาย เนื่องจากขาดผู้นำและส่งผลเสียต่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาประเทศ
3) ประเด็นที่สาม การแต่งตั้งและโยกย้ายนายอักกพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้านสินค้าการท่องเที่ยว (ว่าที่ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนใหม่ในตอนนั้น) ตามมติบอร์ดให้ขึ้นเป็นที่ปรึกษา 11 มีนัยแอบแฝงและมีการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณเป็น ไปโดยเบ็ดเสร็จ โดยให้นายอักกพล พฤกษะวัน พ้นทางการจัดการด้านงบประมาณเพราะตำแหน่งรองผู้ว่าการฯด้านสินค้าการท่องเที่ยว จะมีบทบาทด้านการใช้งบประมาณด้วย เมื่อไม่มีนายอักกพล อำนาจทั้งหมดจะอยู่ในกำมือรักษาการผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
4. ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า งบประมาณด้านการทำตลาดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในแต่ละปี มีจำนวนมหาศาลนับพันล้านบาท ทั้งงบประมาณทางตรงและงบแอบแฝง
ย่อมเป็นที่ติดตาต้องใจของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่อยากจะเข้ามาแสวงหา
-- เพียงแค่การฉกฉวยการพิมพ์หนังสือเพื่อแจกจ่ายไปยังสำนักงานต่างประเทศของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีละนับร้อยล้านบาท หากสามารถเอาโรงพิมพ์ของตัวเองและพวกพ้องเข้าไปสวาปาม แค่นั่งกินนอนกินหัวคิวร้อยละ 30 นั่นเท่ากับว่าจะมีเงินใช้จ่ายในการเลือกตั้งหนหน้าได้อย่างสบาย
5. ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า การคืบคลานเข้ามาในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของพรรคชาติไทยพัฒนา ได้มีการวางตัวเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
นั่นคือมีการวางตัวให้
- นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- วางตัวนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวคนโปรดของนายบรรหาร ที่ถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาคนถัดไป เป็นผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ
- วางตัวนายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นรองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- แถมนายบรรหาร ศิลปอาชา ยังมีการวางตัวเอง เป็นนายกสภาสถาบันพลศึกษา เพื่อคุมสถาบันพลศึกษาทั่วประเทศและคุมงบประมาณของสถาบันพลศึกษาทั้งหมด
หาเพียงแต่เท่านั้นไม่
- ยังยอมแบ่งส่วนให้พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะหุ้นส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา เข้าผลักดันนายอรรคพล สรสุชาติ ซึ่งเป็นคนสนิทติดสอยห้อยตามพลตรีสนั่นมาตลอด คุม สปปน. เพื่อควบคุมการจัดประชุมและนิทรรศการอันเป็นองค์กรมหาชน
- โดยส่งนางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ อดีต รองอธิบดีกรมพลศึกษาที่มีความสนิทสนมกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ถึงขนาดอดีตทุกวันเสาร์จะต้องไปราชการเพื่อหารือข้อราชการกับนายบรรหารที่ สุพรรณบุรี มาเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- หาเพียงแต่เท่านั้นไม่ยังส่ง นายสมบัติ ครุภัณฑ์ อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยพลศึกษาสุพรรณบุรี เข้ามาคุมสำนักงานพัฒนาการกีฬาและ นันทนาการซึ่งคุมงบประมาณการกีฬาในส่วนของสมัครเล่น และ
- ส่งนาย กนกพันธ์ จุลเกษม อดีตอุปนายกสมาคมแฮนด์บอลแห่งประเทศไทยคนสนิทของนายสมบัติเข้ามาเป็นผู้ว่า การการกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อคุมงบประมาณด้านกีฬาอาชีพทั้งระบบ
- แถมยังส่ง นายเสกสรร นาควงศ์ มือขวาคนสนิทอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนกีฬาสุพรรณบุรีและอดีตผู้อำนวยการ วิทยาลัยพลศึกษาสุพรรณบุรีเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว หนำซ้ำให้รักษาการปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทุกครั้ง แถมเมียของนายเสกสรรยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันพลศึกษาสุพรรณบุรี
- นั่นเท่ากับว่า วันนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของพรรคชาติไทยพัฒนาที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เข้ามาล้วงลูกกำกับโดยตรง
-- อย่าไปแปลกใจหากงบประมาณด้านการท่องเที่ยวจะไม่โผล่มาลงที่ภูเก็ต แม้นว่า
1) ภูเก็ตจะมีนางอัญชลี เทพบุตร แกนนำในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองสายนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายทศพร เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬาสภาผู้แทนราษฎร
- อย่าแปลกใจไปว่างบประมาณด้านการท่องเที่ยวและกีฬาไม่โผล่มาลงที่ภูเก็ต
2) แม้นว่า ภูเก็ตจะมีนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย วุฒิสมาชิกเลือกตั้งเป็นประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา และร้อยโทภูมิศักดิ์ หงส์หยก วุฒิสมาชิกสรรหาเป็นรองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา………….นั่นเท่ากับว่า
นายบรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่แยแส ไม่เห็นหัว และไม่ให้ราคาค่างวดต่อ 4 นักการเมืองจังหวัดภูเก็ตที่มีบทบาทในรัฐบาลและในรัฐสภา แม้แต่นิดเดียว อย่าว่ากระไรเลย ไหนเลยมันจะเห็นหัวพนักงาน แล้วยังจะไปเลียขนมังกรมันอี๊กกกก
มีลูกอายลูกมีหลานอายหลาน ขอให้มันหูหนวกปากเบี้ยวตาบอดละกันจะได้ไม่ต้องเห็นลิ้นบรรพบุรุษมันลงยาทาชแล็คแถมขนติดด้วยยยยย
3) **ไม่ให้ราคาถึงขั้นที่..
.ไม่ยอมเอาหนังสือของนางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาที่ลงนามตามมติของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภาทั้งคณะ เข้าสู่ที่ประชุมของบอร์ดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ทั้งที่นายยุทธพล อังกินันท์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยพัฒนาจังหวัดเพชรบุรี มีหนังสืออ้างบัญชาของนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า หากเฟ้นค้นงบประมาณด้านการท่องเที่ยวและกีฬาที่นอกเหนือจากงบประมาณแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า งบไทยเข้มแข็งไม่มีโผล่ลงมาพัฒนาภูเก็ตแม้กระทั่งจะส่งเสริมด้านการตลาดให้กับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต
เสมือนหนึ่งชาวภูเก็ตทั้งจังหวัดไม่อยู่ในสายตาของพรรคชาติไทยพัฒนาและนายบรรหาร ศิลปอาชา แม้นว่าในอดีตจังหวัดภูเก็ตจะเคยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยนามเรวุฒิ จินดาพล ประดับพรรคชาติไทยก็ตาม
วันนี้ประธานและรองประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวแห่งวุฒิสภา ที่มาจากวุฒิสมาชิกเลือกตั้งและสรรหาจากจังหวัดภูเก็ต ไร้น้ำยา ราดขนมจีน( คงเหลือแค่ น้ำซีอิ้วก้นขวดราดขนมจีนแทนน้ำยา )
ทั้งที่สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาในเรื่องนี้ โดยตั้งรองประธานกรรมาธิการคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่
ฤๅ วันนี้ รองประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งสภาผู้แทนราษฎรที่คนภูเก็ตเท คะแนนเสียงให้เข้าไปทำหน้าที่ปากเสียงในสภาผู้แทนราษฎรจะไร้น้ำยา น้ำพริก กระทั่งน้ำซีอิ้วคลุกขนมจีน
ชาวบ้าน ภาคเอกชน และนักลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตจะหวังพึ่งอะไร
นอกจากไปจุดธูปขอท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร...หลวงพ่อแช่ม...เพื่อให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตแทนที่จะไปนั่งรอผู้ทรงเกียรติทั้งสี่แห่งรัฐสภาและรัฐบาล กระมัง?
** ย้ำนายบรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นหัว และไม่ให้ราคาค่างวดต่อ 4 นักการเมืองจังหวัดภูเก็ตที่มีบทบาทในรัฐบาลและในรัฐสภา แม้แต่นิดเดียว อย่าว่ากระไรเลย ไหนเลยมันจะมาแยแส รึเห็นหัวพนักงาน
แล้วยังจะไปเลียขนมังกรมันอี๊กกกก ………..มีลูกอายลูกมีหลานอายหลาน ขอให้มันหูหนวกปากเบี้ยวตาบอดละกันจะได้ไม่ต้องเห็นลิ้นบรรพบุรุษมันลงยาทาชแล็คแถมขนติดด้วยยยยย
=ช่วยตอบบรรยากาศการหายใจใต้อุ้งตีน.......ว่าหายใจสะดวกดี ไหม(นอกจากแสบลิ้นที่ทั้งเลีย ทั้งโก่งคอหอนรับแล้ว) ร่างกายปกติดีหรือ ( อ้อ ยกเว้นเรื่อง กระเป๋าและ statement เมีย-กิ๊ก ที่ปรี่แล้ว ที่เหลือมันสัญญาลมปากโว้ย)
• กลิ่นอายและรสชาติถ้อยคำของผู้มีความจริงใจ จะผิดกับกลิ่นอายของผู้ไม่จริงใจ มีแต่มารยา วิชาการ ผิดกันราวกับฟ้าและเหว
• ขอเพียงพวกท่านมีความจริงใจ มีความเป็นธรรมชาติ
• ท่านจะได้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นลูกหลานของชาวศากยะ ดูอย่างพระพุทธเจ้าเป็นที่รักของเทวดาพรหม มาร เปรต และอสุรกาย ทรงยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคนและของตัวเอง
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552
รายงานการสังเกตุการณ์การท่องเที่ยว โซล เกาหลี
รายงานการสังเกตุการณ์การท่องเที่ยว โซล เกาหลี
1. ส่วนที่เกาหลีสร้างจุดเด่นขึ้นมาไม่น้อยหน้าที่อื่น คือการ โปรโมท การใช้สินค้าเกาหลี นักท่องเที่ยวมากมาย(เป็นคนไทย) เดินทางมาเพื่อกิน นอน และก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ ตามแบบ ชม แชะ ฉี่ ช้อป
หลังจากได้แอบชมหลากหลายมุมของกรุงโซลที่ไม่มีคนรู้มาแล้วก็ถึงเวลาช้อปปิ้งซื้อข้าวของมาฝากผู้คนทางบ้าน
1.1 ตลาดที่เกาหลีก็ไม่ได้ต่างจะตลาดบ้านเรานักถ้าไม่นับตัวสินค้าที่มันขาย...แน่นอนว่าที่เกาหลีไม่มีของกินแหล่มๆรสจี๊ดจ๊าด และไม่ค่อยวางพรึ่บแบบบ้านเรา (เค๊ามีเป็นหย่อมๆ)
มีสาลี่หัวเด็กที่ฟังจากชื่อเรียกก็คงจินตนาการกันออกว่าไซส์มันขนาดไหน ที่ไม่เห็นคือสตรอเบอรี่มหัศจรรย์ที่ว่าโตนักหนานั่นแหละ-เท่ามือ
1.2 เมืองที่อยู่แถวๆตลาด..หรือจะพูดให้ถูกก็คือตั้งตลาดไว้ใกล้ๆประตู.ชื่อว่าอะไรซักอย่างที่เป็นแซ่คนใหญ่คนโตที่นั่น ตามด้วย"แดมุน" หรือ 大门….อัน 大 แปลว่าใหญ่ และ 门 แปลว่าประตู…//(ที่ใช่ตัวจีนเพราะไม่มีความสามารถด้านภาษาเกาหลี และบนประตูมันก็ใช้ตัวจีนด้วย)
- เรื่องของเรื่องก็คือมันมีประตูอย่างนี้ทั่วไปหมดเหมือนที่เคยอ่านมาจริงๆ
- ตลาดทีว่านี้ นอกจากผลไม้ตระการตาแล้วยังมีร้านอาหารรถเข็นข้างทาง
- ไอ้ที่หมายว่าจะดู คือ ขายอาหารทะเลแบบประสงค์ตัวใดก็จิ้มแล้วก็ช้อนมาปรุงกันสดๆ โดยกรรมวิธี เพียงช้อนน้องหมึกหมดบุญใส่ชาม จิ้มน้ำจิ้มเล็กน้อย แล้วก็สูดปรืดกันเข้าไปเลยอย่างที่เจอในเน็ตไม่มีบุญได้เห็น แต่มีเต้าหู้บ้างเหี่ยวบ้างพองเสียบไม้จุ่มในน้ำร้อน พร้อมน้ำจิ้มแดงๆอยู่ในถาดข้างๆ ใครใครกินก็จ่าย-จุ่ม-จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ย้ำ กัด จุ่ม –จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ในถาดเดิม.อ้อก...
1.3 โอกาสไปเยียมเยือนCenter Pointของเกาหลี(ซึ่งจำชื่อไม่ได้อีกแล้ว)ก็อย่างว่ามันก็เหมือนCenter Point ที่ใหญ่กว่าคนเยอะกว่า ของก็เยอะกว่า กว้างขวางกว่าเหลียวซ้ายแลขวา ก็เจอPosterคนหน้าคุ้น อันได้แก่บรรดาดาราเกาหลีที่โด่งดังมากมายในบ้านเราไม่ใช่ในเกาหลีเพราะ...มันเอาไว้ขายคนไทยไง
- ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เดินไปทางไหนก็คอยฟังดีๆเถอะจะได้ยินภาษาไทยที่คุ้นหูดังลอยมาแน่ๆ
2. เรื่องตอนขึ้นเครื่องกลับ
ทัวร์ไทยขนาดใหญ่ กว่า 30 ชีวิต กลับเมืองไทยด้วยเสียงอันไม่มีการลดระดับ อีกหน่อยคงติดอันดับ นักท่องเที่ยวที่ไม่มีประเทศไหนต้องการ ชิงจากจีน.//////////////
มีเกาหลีมาเมืองไทยหลายคน มารยาททรามของคนที่มี..เป็นเกาหลี (มันทำหน้าภูมิใจพรีเซ้นต์สุดๆ ขณะดำเนินการบางอย่างที่สตรีมิควร)ไม่ขอเอ่ย มันจะอ๊อก
3. อาหารการกิน
.ใครหนอบอกว่าดูแดจังกึมไปก็น้ำลายหกไป อาหารแต่ละเมนูแสนจะเริด1. หมูกะทะเกาหลี
กิน-ลองรสชาติต้นตำรับดูซักทีดูไปมันไม่เห็นเหมือนกันตรงไหนเลย เหมือนรูปเด๊ะเลย ตอนเจอยังนึกว่าฝัน
หลอกลวงกันนี่หว่า(ร้านบ้านเราอะหลอกลวงเห็นละครเกาหลีมาแรง อะไรเป็นเกาหลีหน่อยก็ขายดีทั้งนั้น……..ที่แสบสุด คือ เราโดนหลอกให้เราคิดว่าอาหารเกาหลีอร่อย)
มันอาจจะถูกปากคนบ้านเขาก็ได้ แต่คนไทยหลายคนยืนยันว่าไม่อร่อย หมูสไลด์สวย แผ่นเท่ากัน หมักในน้ำซีอิ๊วคล้ำๆ เนื้อมีมันตรงกลาง ย่างแล้วต้องรีบกิน อย่าให้ไหม้พอสุกรีบๆกินไม่งั้นเหนียว โฮให้มา1ชามหมู ต้องรีบกินอย่างว่า ไก๊ด์ก็รีบสั่งเพิ่ม โฮ มันจะอ๊อคคคค
รสชาดอาหาร... รสชาติก็แปลก จะว่าจืดก็ไม่ใช่ เผ็ดก็ไม่เชิง เค็มรึก็เปล่า หวานยิ่งไม่มีชัด(อันนี้เว้นบะหมี่ป๋อง เฮ้อ หวานชื่นจาย)
เอาเป็นว่าไม่อร่อยเลย แต่ก็จัดการกันจนหมดจดอย่างไม่น่าเชื่อ..เนื่องจากสูญพลังงานไปเยอะหลังจากไปอยู่ได้สามวันก็ตระหนักได้ว่าอาหารของต่างชาติไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เข้ามาขายในบ้านเรานั่นคือสิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้เข้ากับลิ้นคนไทยที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังกับอาหารใดๆในต่างประเทศ.......
โดยเฉพาะอาหารที่เคยกินที่เมืองไทยแล้วอร่อย
อย่าได้คิดว่าต้นตำรับจะอร่อยเหมือนกัน หรืออร่อยกว่าเลยที่เดียว
4. วังวนวังวนวัง วัง
อีกที่ที่ทัวร์ไทยนิยมไปกันก็คือเคียงบอกกุง- ไปถึงก็มีผู้คนยืนมุงกันอยู่หน้าประตู ซักช่วงบ่ายคล้อยแล้วก็มีเสียงกลองตุ้มๆ ถ้าเราถลาไปมุงทันจะเห็น.ทหารเขากำลังเดินแถวกันนี่เอง ไก๊ด์เราไม่บอกเลยอดดู ดีว่าแอบอ่านมาบ้างแล้วเลยไม่ด่ามัน (รอดไป ไอ้อ่อนเอ๊ยยย)
เข้าไปในประตูวังก็กะจะดื่มด่ำกับความเป็นเกาหลีเสียหน่อย บ๊ะทัวร์จีนรัวชัตเตอร์กันอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้เต็มไปหมด วันนี้มีฝรั่งบ้าง ดูแขกจะเยอะทั้งนักท่องเที่ยวและพวกเรสสิเด็นส์
แอบดูหน้านายทหารคนนั้น แล้วก็หลายๆคนด้วยเห็นทำหน้าเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเขาคงคิดเอือมๆอ่ะนะว่าไอ้พวกนี้จะเอาอะไรนักหนา ถ่ายรูปกันอยู่นั่นแหละ แต่ the show must go on,life depend on moneyนี่น่า แสดงดี
ตรงนี้เป็นบริเวณไกลสุดแล้วที่เจอคนไทย เพราะทัวร์ไทยจะรีบต้อนขึ้นรถ..ชักภาพคุ้มค่าทัวร์แล้ว หรือฟังไกด์พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ก็ม่ายรุ๊ เสียดาย เราไม่ได้เจอตึกกลางน้ำสำนักหมอหลวงของน้อง"แด"ผู้โด่งดัง ไม่รู้อยู่ไหน
5. ที่นี่ก็เป็นวังอีกเหมือนกันชื่อว่า ชางดอกกุง
เป็นworld heritageด้วย แต่ว่า ถ้าเป็นทัวร์ไทยจะไม่ได้พาไป…เพราะว่าเวลาเข้าไปจะต้องไปกับไกด์ของเขาเท่านั้น
แล้วก็จะมีเป็นรอบๆ รอบภาษาอังกฤษแต่ละรอบก็เลยเป็นกลุ่มใหญ่ๆ(เราไปรอบ 11.30 น. ซึ่งเดินหน้าตั้งเหมือนกันเพราะ มาทางรถใต้ดิน-งบน้อยหอยน้อยอ่ะ)
ไกด์คนสวยที่ทางที่นี่จัดไว้ให้ แจ๋วที่สุด ชอบมากๆ แม่นางคนนี้เป็นสาวเกาหลีที่สันทัดภาษาอังกฤษกว่าคนเกาหลีทั่วไป แถมยังมีมุกกระจายตามจุดต่างๆไม่ถึงกับฮาโคตร แต่ใช้ได้ บางทีก็แก้ไขเรื่องที่เข้าดูบางอาคารไม่ได้ หรืออื่นๆไป ดูน่ารักอีกต่างหาก
น่ารักในชุดประจำชาติและภาษาอังกฤษดีแล้ว เจ๊แกยังสามารถทักทายลูกทัวร์กลุ่มเล็กๆของเธอด้วยภาษาของแต่ละชาติได้อีกด้วย
บางคนไม่ค่อยได้ฟังที่ไกด์เขาพูดเท่าไหร่ เน้นถ่ยรูป บ้างก็เล่นมิวสิคส่วนตัวไป
จะว่าไปก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เพราะถ้าผ่าน จีน เวียตนามมาแล้ว พระราชวังก็มีแนวคิดการสร้างคล้ายกันไปหมด สนุกตรงกิมมิกการใช้น้ำร้อนอังอาคารให้อุ่น แอบดูชั้นใส่ความร้อน และความลับในสวนต้องห้าม..secret garden (แอบเรียกว่า second wife complex อย่าโกรธนา) สนุกดี
ตอนที่ไปก็มีแต่ต้นไม้เปลี่ยนสีสวยมาก อยากเดินอีก 2 วันให้อิ่มไปเลย
ปีนี้ใบไม้ร่วงเร็วกว่าเดิม ไก๊ด์บอกว่าเพราะ global warming น่ะ
ประตูนี้ไกด์เขาบอกว่าชื่อ Never get old ลอดแล้วจะไม่แก่………. ที่ไปลอดมาเนี่ยไม่ใช่ว่ากลัวแก่หรอกนะ มันไม่มีทางอื่นให้เดินน่ะ
(ประตูนี้มีจำลองอยู่ที่สถานีเกียงบอกกุงด้วยแต่คงขลังไม่เท่าของจริง)
พอเดินเข้าไปลึกสุดป่าก็มีที่ทางให้พักเหนื่อยแล้วก็วนกลับออกมา
ไกลเอาการ ถ้าไม่สวยและเย็นคงเหนื่อยขาลาก สำหรับคนที่เดินชมนกที่ไม่ค่อยมีและชมไม้หลากสีอย่างสบายอารมณ์ก้อคงจะไม่มีทีท่าจะเหนื่อยแม้แต่น้อย
6. EVERLAND
วันที่ 3 จบอาหารเช้า(แบบเผื่อเที่ยง) ที่โรงแรมเสร็จก็เผ่นออกมาทันที.บ้านไกลเวลาน้อย ต้องรีบเที่ยวให้คุ้ม
ระยะทางก็ห่างจากตัวเมืองไปเล็กน้อย แค่นั่งรถหรือรถเมล์ไปชั่วโมงครึ่งก็ถึง แค่ตอนนั่งรถมาก็สนุกแล้ว จากที่ถามๆถ้ามารถเมล์มันจะพาขึ้นเขา โยกซ้ายย้ายขวาพอเมาจนได้ที่ก็ถึงพอดี
6.1 สวนสนุกที่ว่ามันกินพื้นที่บนเขาขนาดย่อมๆไปสองลูก
รีบลงจากรถอันแสนร้อนก็ได้ปะทะลมจากภูเขา ทำเอาผงะไปเล็กน้อย
6.2 ก่อนถึงทางเข้าจะมีเต็นท์ที่ห่อด้วยพลาสติกกันลมเหมือนร้านบะหมี่ในละครตั้งอยู่-เป็นpicnic area ข้างในมีตู้ขายpopcornขายน้ำอยู่เยอะเลย-คนที่นี่เขานิยมข้าวกล่องกัน
o ไม่เหมือนบ้านเรา เปิดโอกาสให้ร้านอาหารตามสถานที่ท่องเที่ยวขูดรีดเอา
6.3 ไปก็เจอพนักงานตามซุ้มต่างๆยืนสั่นมือ (ที่จริงควรจะโบกมือรึเต้นโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงสวนสนุกมั๊ง แต่ลดระดับเหลือสั่นมือ เหมือน ไม่มี ของหมดแล้ว ไงงั้น)………
** อย่าได้หันไปสบตาเข้าเชียว …เขาและเธอเหล่าจะโบกไม้โบกมือ พร้อมทั้งตะโกนโหวกเหวก ประมาณว่า สวัสดี หรือยินดีต้อนรับ(มั้ง) เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง ไม่ว่าจะซื้อของ หรือเล่นเครื่องเล่นนั้นหรือไม่
เดินๆไปซักพัก เริ่มชิน นึกสนุกโบกมือตามเขาไปบ้าง
ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือ พนักงานกวาดพื้นนอกจากจะแต่งตัวน่ารักน่าเอ็นดูตามconceptแล้ว ยังใส่โรลเลอร์เบลดวิ่งไปวิ่งมา ถ้าพบเห็นเศษ ซากอะไรหล่นลงมาพี่แกจะแถ.ถ.ถ.แถ..ถลามากวาดเศษซากนั้นไปทันที
6.4 ส่วนของเล่นทั้งหลาย มันก็มีเครื่องเล่นประเภทเหวี่ยงไปเหวี่ยงมานั่นแหละ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับดีกรีของแต่ละอัน อย่างว่า สวนสนุกมันตั้งบนเขา เขาจะเริ่มต้นการเที่ยวด้วย
1) เกาอี้ลอยฟ้า ไม่น่ากลัว ที่ตาข่ายรอง(ตาข่ายดูใหม่ดี)
2) ส่วนของสวนสัตว์ประทับใจมาก เห็นหมีตัวโต โตจริงๆยืนขึ้นมาทีสูงเท่าขอบกระจกด้านบนของบัส!!!~
ที่จริงในส่วน zootopia ก๊มีหมีขาวกับเพนกวินอาบแดดไม่ต้องอยู่ในห้องแอร์แบบตอนมาอยู่บ้านเรา คนที่แวะเข้าไปจะได้เกาะตู้ดูแมวน้ำว่ายน้ำแบบใกล้ชิด ได้วิ่งเล่นกับบรรดาแพะแกะจริงๆก็ไม่ใช่วิ่งเล่นหรอก เห็นใครถือกล่องอะไรมันก็จะคิดว่าเป็นกล่องของกิน วิ่งตามกันเป็นพรวนเลย น่ากลัวดี มันคงจะคุ้นกับคน แบบสัตว์ที่สูยเสียความเป็นสัตว์น่านแหละ
3) อีกส่วนก็จะเป็นสวนดอกไม้ ใกล้ๆส่วนรีสอร์ต ไม่ได้แวะเพราะถ่ายรูปกับดอกไม้ไม่ไหว ไม่อยากข่มมัน!?!?!?!
ปู๊นนน 14.30 น. .... หมดเวลา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
7. Transportation
การคมนาคมสายหลักของที่นี่คือรถไฟฟ้า และการเดินทางส่วนใหญ่จะไปโดยรถไฟฟ้ามันจึงมีเรื่องให้เม้าท์เยอะเลย
7.1 อย่างแรกก็คือ รถไฟฟ้าที่นี่มีหลายสายมากๆเป็นเครือข่ายทั่วไทยโยงใยทั่วโลก เอ๊ยไม่ใช่ เป็นเครือข่ายทั่วโซลและถึงแม้จะเรียกมันว่าsubway แต่มันไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ใต้ดินเท่านั้น ทั้งใต้ดินลอยฟ้า ระดับเดียวกับดิน เชื่อมถึงกันหมดโดยไม่ต้องออกจากสถานี
7.2 ไม่ว่าจะซอกหลืบไหน เข้ามาในรถไฟอะ หลงไปหลงมาก็เจอเอง
7.3 เวลาจะเปลี่ยนสายรถก็มึนๆ ไม่รู้ว่าจะต้อง ขึ้นตรงไหน ลงตรงไหน ขึ้นรถขบวนไหน มันมีเยอะเหลือเกิน
o บางสถานีโดยเฉพาะสายเก่าๆมันไม่มีกระจกกั้นแบบMRT-เป็นแบบเปิดโล่ง รถไฟมาแต่ละทีก็จะสัมผัสได้ถึง
o ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือตัวรถมันนี่แหละ ด้วยขบวนจะยาวเหยียด ไม่รู้กี่ตู้ ไม่ได้นับ ดูวีทีอาร์บอกประมาณว่าพอประตูมันนึกจะปิดก็ปิด มิใยว่าใครจะถูกหนีบ
7.4 อีกอย่างที่รถไฟฟ้าที่นี่ต่างจากบ้านเราก็คือ..ทั้ง BTS และ MRT ไม่ให้เอาของกินเข้าไป..ไอ้เราก็นึกว่ามันจะเหมือนกัน ทำตัวเป็นคนดี..ทนหิวน้ำอยู่ตลอดทางครึ่งค่อนเมือง
7.5 ที่สถานีที่จะลงก็เห็นตู้ขายของอัตโนมัติตั้งอยู่.มีหมดเลยทั้งน้ำชากาแฟ ขนมนมเนย แถมส้วมด้วย ว้าวว้าวววว
7.6 สถานีรถไฟฟ้าที่นี่จะทีการตกแต่งต่างกันไป ถ้าเป็นสถานีที่จะไปวัง จะมีลาย รูป หรือเป็นศิลปินมาแปะงานโชว์ทั่วสถานีไปหมด
กลับมาบนถนนกันบ้าง
7.7 มีแต่รถยี่ห้อเกาหลี รุ่น-ยี่ห้อที่ไม่ค่อยเห็นในบ้านเรา
7.8 ส่วนรถเมล์ไม่ได้ขึ้น
7.9 ถนนช่วง 5-6 โมงรถยังติดมหากาฬ ขึ้นแม็กซี่แทบหมดตัว ยืนยันว่าติดกว่าบ้านเราอีก ขนาดคนส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้ากันนะนั่น
7.10 แท็กซี่ก็เป็นมิเตอร์ธรรมดาก็มี เริ่มที่ 2400 วอน ต่างกันตรงที่เวลามิเตอร์จะขึ้นมันจะcount downตามล้อหมุน…วิ่งเร็วก็count downเร็ว วิ่งช้าก็ช้า พอรถหยุดก็เร็วอีก
ข้อดีของแท็กซี่ที่นี่ก็คือมันรู้ตัวว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ เขาก็มีcall centerบริการล่ามฟรี คุยกับแท็กซี่ให้ ไม่เหมือนบ้านเรา ติดสติกเกอร์ว่า I love farang เอาเข้าจริงก็ไม่แน่ โธ่เอ๊ย
ที่สาปส่ง คือมันไม่รู้จักที่พักแต่ดันรับเราขึ้นไปวนครึ่งเมือง เสียไปเกือบ หมื่นวอน..
ฮึ่มมม!!วอนแท้แท้
++++++++++++++++++++++++++++
The End of Part 1
1. ส่วนที่เกาหลีสร้างจุดเด่นขึ้นมาไม่น้อยหน้าที่อื่น คือการ โปรโมท การใช้สินค้าเกาหลี นักท่องเที่ยวมากมาย(เป็นคนไทย) เดินทางมาเพื่อกิน นอน และก็ซื้อ ซื้อ ซื้อ ตามแบบ ชม แชะ ฉี่ ช้อป
หลังจากได้แอบชมหลากหลายมุมของกรุงโซลที่ไม่มีคนรู้มาแล้วก็ถึงเวลาช้อปปิ้งซื้อข้าวของมาฝากผู้คนทางบ้าน
1.1 ตลาดที่เกาหลีก็ไม่ได้ต่างจะตลาดบ้านเรานักถ้าไม่นับตัวสินค้าที่มันขาย...แน่นอนว่าที่เกาหลีไม่มีของกินแหล่มๆรสจี๊ดจ๊าด และไม่ค่อยวางพรึ่บแบบบ้านเรา (เค๊ามีเป็นหย่อมๆ)
มีสาลี่หัวเด็กที่ฟังจากชื่อเรียกก็คงจินตนาการกันออกว่าไซส์มันขนาดไหน ที่ไม่เห็นคือสตรอเบอรี่มหัศจรรย์ที่ว่าโตนักหนานั่นแหละ-เท่ามือ
1.2 เมืองที่อยู่แถวๆตลาด..หรือจะพูดให้ถูกก็คือตั้งตลาดไว้ใกล้ๆประตู.ชื่อว่าอะไรซักอย่างที่เป็นแซ่คนใหญ่คนโตที่นั่น ตามด้วย"แดมุน" หรือ 大门….อัน 大 แปลว่าใหญ่ และ 门 แปลว่าประตู…//(ที่ใช่ตัวจีนเพราะไม่มีความสามารถด้านภาษาเกาหลี และบนประตูมันก็ใช้ตัวจีนด้วย)
- เรื่องของเรื่องก็คือมันมีประตูอย่างนี้ทั่วไปหมดเหมือนที่เคยอ่านมาจริงๆ
- ตลาดทีว่านี้ นอกจากผลไม้ตระการตาแล้วยังมีร้านอาหารรถเข็นข้างทาง
- ไอ้ที่หมายว่าจะดู คือ ขายอาหารทะเลแบบประสงค์ตัวใดก็จิ้มแล้วก็ช้อนมาปรุงกันสดๆ โดยกรรมวิธี เพียงช้อนน้องหมึกหมดบุญใส่ชาม จิ้มน้ำจิ้มเล็กน้อย แล้วก็สูดปรืดกันเข้าไปเลยอย่างที่เจอในเน็ตไม่มีบุญได้เห็น แต่มีเต้าหู้บ้างเหี่ยวบ้างพองเสียบไม้จุ่มในน้ำร้อน พร้อมน้ำจิ้มแดงๆอยู่ในถาดข้างๆ ใครใครกินก็จ่าย-จุ่ม-จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ย้ำ กัด จุ่ม –จิ้ม กัด จุ่ม –จิ้ม ในถาดเดิม.อ้อก...
1.3 โอกาสไปเยียมเยือนCenter Pointของเกาหลี(ซึ่งจำชื่อไม่ได้อีกแล้ว)ก็อย่างว่ามันก็เหมือนCenter Point ที่ใหญ่กว่าคนเยอะกว่า ของก็เยอะกว่า กว้างขวางกว่าเหลียวซ้ายแลขวา ก็เจอPosterคนหน้าคุ้น อันได้แก่บรรดาดาราเกาหลีที่โด่งดังมากมายในบ้านเราไม่ใช่ในเกาหลีเพราะ...มันเอาไว้ขายคนไทยไง
- ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เดินไปทางไหนก็คอยฟังดีๆเถอะจะได้ยินภาษาไทยที่คุ้นหูดังลอยมาแน่ๆ
2. เรื่องตอนขึ้นเครื่องกลับ
ทัวร์ไทยขนาดใหญ่ กว่า 30 ชีวิต กลับเมืองไทยด้วยเสียงอันไม่มีการลดระดับ อีกหน่อยคงติดอันดับ นักท่องเที่ยวที่ไม่มีประเทศไหนต้องการ ชิงจากจีน.//////////////
มีเกาหลีมาเมืองไทยหลายคน มารยาททรามของคนที่มี..เป็นเกาหลี (มันทำหน้าภูมิใจพรีเซ้นต์สุดๆ ขณะดำเนินการบางอย่างที่สตรีมิควร)ไม่ขอเอ่ย มันจะอ๊อก
3. อาหารการกิน
.ใครหนอบอกว่าดูแดจังกึมไปก็น้ำลายหกไป อาหารแต่ละเมนูแสนจะเริด1. หมูกะทะเกาหลี
กิน-ลองรสชาติต้นตำรับดูซักทีดูไปมันไม่เห็นเหมือนกันตรงไหนเลย เหมือนรูปเด๊ะเลย ตอนเจอยังนึกว่าฝัน
หลอกลวงกันนี่หว่า(ร้านบ้านเราอะหลอกลวงเห็นละครเกาหลีมาแรง อะไรเป็นเกาหลีหน่อยก็ขายดีทั้งนั้น……..ที่แสบสุด คือ เราโดนหลอกให้เราคิดว่าอาหารเกาหลีอร่อย)
มันอาจจะถูกปากคนบ้านเขาก็ได้ แต่คนไทยหลายคนยืนยันว่าไม่อร่อย หมูสไลด์สวย แผ่นเท่ากัน หมักในน้ำซีอิ๊วคล้ำๆ เนื้อมีมันตรงกลาง ย่างแล้วต้องรีบกิน อย่าให้ไหม้พอสุกรีบๆกินไม่งั้นเหนียว โฮให้มา1ชามหมู ต้องรีบกินอย่างว่า ไก๊ด์ก็รีบสั่งเพิ่ม โฮ มันจะอ๊อคคคค
รสชาดอาหาร... รสชาติก็แปลก จะว่าจืดก็ไม่ใช่ เผ็ดก็ไม่เชิง เค็มรึก็เปล่า หวานยิ่งไม่มีชัด(อันนี้เว้นบะหมี่ป๋อง เฮ้อ หวานชื่นจาย)
เอาเป็นว่าไม่อร่อยเลย แต่ก็จัดการกันจนหมดจดอย่างไม่น่าเชื่อ..เนื่องจากสูญพลังงานไปเยอะหลังจากไปอยู่ได้สามวันก็ตระหนักได้ว่าอาหารของต่างชาติไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เข้ามาขายในบ้านเรานั่นคือสิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้เข้ากับลิ้นคนไทยที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังกับอาหารใดๆในต่างประเทศ.......
โดยเฉพาะอาหารที่เคยกินที่เมืองไทยแล้วอร่อย
อย่าได้คิดว่าต้นตำรับจะอร่อยเหมือนกัน หรืออร่อยกว่าเลยที่เดียว
4. วังวนวังวนวัง วัง
อีกที่ที่ทัวร์ไทยนิยมไปกันก็คือเคียงบอกกุง- ไปถึงก็มีผู้คนยืนมุงกันอยู่หน้าประตู ซักช่วงบ่ายคล้อยแล้วก็มีเสียงกลองตุ้มๆ ถ้าเราถลาไปมุงทันจะเห็น.ทหารเขากำลังเดินแถวกันนี่เอง ไก๊ด์เราไม่บอกเลยอดดู ดีว่าแอบอ่านมาบ้างแล้วเลยไม่ด่ามัน (รอดไป ไอ้อ่อนเอ๊ยยย)
เข้าไปในประตูวังก็กะจะดื่มด่ำกับความเป็นเกาหลีเสียหน่อย บ๊ะทัวร์จีนรัวชัตเตอร์กันอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้เต็มไปหมด วันนี้มีฝรั่งบ้าง ดูแขกจะเยอะทั้งนักท่องเที่ยวและพวกเรสสิเด็นส์
แอบดูหน้านายทหารคนนั้น แล้วก็หลายๆคนด้วยเห็นทำหน้าเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเขาคงคิดเอือมๆอ่ะนะว่าไอ้พวกนี้จะเอาอะไรนักหนา ถ่ายรูปกันอยู่นั่นแหละ แต่ the show must go on,life depend on moneyนี่น่า แสดงดี
ตรงนี้เป็นบริเวณไกลสุดแล้วที่เจอคนไทย เพราะทัวร์ไทยจะรีบต้อนขึ้นรถ..ชักภาพคุ้มค่าทัวร์แล้ว หรือฟังไกด์พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ก็ม่ายรุ๊ เสียดาย เราไม่ได้เจอตึกกลางน้ำสำนักหมอหลวงของน้อง"แด"ผู้โด่งดัง ไม่รู้อยู่ไหน
5. ที่นี่ก็เป็นวังอีกเหมือนกันชื่อว่า ชางดอกกุง
เป็นworld heritageด้วย แต่ว่า ถ้าเป็นทัวร์ไทยจะไม่ได้พาไป…เพราะว่าเวลาเข้าไปจะต้องไปกับไกด์ของเขาเท่านั้น
แล้วก็จะมีเป็นรอบๆ รอบภาษาอังกฤษแต่ละรอบก็เลยเป็นกลุ่มใหญ่ๆ(เราไปรอบ 11.30 น. ซึ่งเดินหน้าตั้งเหมือนกันเพราะ มาทางรถใต้ดิน-งบน้อยหอยน้อยอ่ะ)
ไกด์คนสวยที่ทางที่นี่จัดไว้ให้ แจ๋วที่สุด ชอบมากๆ แม่นางคนนี้เป็นสาวเกาหลีที่สันทัดภาษาอังกฤษกว่าคนเกาหลีทั่วไป แถมยังมีมุกกระจายตามจุดต่างๆไม่ถึงกับฮาโคตร แต่ใช้ได้ บางทีก็แก้ไขเรื่องที่เข้าดูบางอาคารไม่ได้ หรืออื่นๆไป ดูน่ารักอีกต่างหาก
น่ารักในชุดประจำชาติและภาษาอังกฤษดีแล้ว เจ๊แกยังสามารถทักทายลูกทัวร์กลุ่มเล็กๆของเธอด้วยภาษาของแต่ละชาติได้อีกด้วย
บางคนไม่ค่อยได้ฟังที่ไกด์เขาพูดเท่าไหร่ เน้นถ่ยรูป บ้างก็เล่นมิวสิคส่วนตัวไป
จะว่าไปก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เพราะถ้าผ่าน จีน เวียตนามมาแล้ว พระราชวังก็มีแนวคิดการสร้างคล้ายกันไปหมด สนุกตรงกิมมิกการใช้น้ำร้อนอังอาคารให้อุ่น แอบดูชั้นใส่ความร้อน และความลับในสวนต้องห้าม..secret garden (แอบเรียกว่า second wife complex อย่าโกรธนา) สนุกดี
ตอนที่ไปก็มีแต่ต้นไม้เปลี่ยนสีสวยมาก อยากเดินอีก 2 วันให้อิ่มไปเลย
ปีนี้ใบไม้ร่วงเร็วกว่าเดิม ไก๊ด์บอกว่าเพราะ global warming น่ะ
ประตูนี้ไกด์เขาบอกว่าชื่อ Never get old ลอดแล้วจะไม่แก่………. ที่ไปลอดมาเนี่ยไม่ใช่ว่ากลัวแก่หรอกนะ มันไม่มีทางอื่นให้เดินน่ะ
(ประตูนี้มีจำลองอยู่ที่สถานีเกียงบอกกุงด้วยแต่คงขลังไม่เท่าของจริง)
พอเดินเข้าไปลึกสุดป่าก็มีที่ทางให้พักเหนื่อยแล้วก็วนกลับออกมา
ไกลเอาการ ถ้าไม่สวยและเย็นคงเหนื่อยขาลาก สำหรับคนที่เดินชมนกที่ไม่ค่อยมีและชมไม้หลากสีอย่างสบายอารมณ์ก้อคงจะไม่มีทีท่าจะเหนื่อยแม้แต่น้อย
6. EVERLAND
วันที่ 3 จบอาหารเช้า(แบบเผื่อเที่ยง) ที่โรงแรมเสร็จก็เผ่นออกมาทันที.บ้านไกลเวลาน้อย ต้องรีบเที่ยวให้คุ้ม
ระยะทางก็ห่างจากตัวเมืองไปเล็กน้อย แค่นั่งรถหรือรถเมล์ไปชั่วโมงครึ่งก็ถึง แค่ตอนนั่งรถมาก็สนุกแล้ว จากที่ถามๆถ้ามารถเมล์มันจะพาขึ้นเขา โยกซ้ายย้ายขวาพอเมาจนได้ที่ก็ถึงพอดี
6.1 สวนสนุกที่ว่ามันกินพื้นที่บนเขาขนาดย่อมๆไปสองลูก
รีบลงจากรถอันแสนร้อนก็ได้ปะทะลมจากภูเขา ทำเอาผงะไปเล็กน้อย
6.2 ก่อนถึงทางเข้าจะมีเต็นท์ที่ห่อด้วยพลาสติกกันลมเหมือนร้านบะหมี่ในละครตั้งอยู่-เป็นpicnic area ข้างในมีตู้ขายpopcornขายน้ำอยู่เยอะเลย-คนที่นี่เขานิยมข้าวกล่องกัน
o ไม่เหมือนบ้านเรา เปิดโอกาสให้ร้านอาหารตามสถานที่ท่องเที่ยวขูดรีดเอา
6.3 ไปก็เจอพนักงานตามซุ้มต่างๆยืนสั่นมือ (ที่จริงควรจะโบกมือรึเต้นโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงสวนสนุกมั๊ง แต่ลดระดับเหลือสั่นมือ เหมือน ไม่มี ของหมดแล้ว ไงงั้น)………
** อย่าได้หันไปสบตาเข้าเชียว …เขาและเธอเหล่าจะโบกไม้โบกมือ พร้อมทั้งตะโกนโหวกเหวก ประมาณว่า สวัสดี หรือยินดีต้อนรับ(มั้ง) เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง ไม่ว่าจะซื้อของ หรือเล่นเครื่องเล่นนั้นหรือไม่
เดินๆไปซักพัก เริ่มชิน นึกสนุกโบกมือตามเขาไปบ้าง
ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือ พนักงานกวาดพื้นนอกจากจะแต่งตัวน่ารักน่าเอ็นดูตามconceptแล้ว ยังใส่โรลเลอร์เบลดวิ่งไปวิ่งมา ถ้าพบเห็นเศษ ซากอะไรหล่นลงมาพี่แกจะแถ.ถ.ถ.แถ..ถลามากวาดเศษซากนั้นไปทันที
6.4 ส่วนของเล่นทั้งหลาย มันก็มีเครื่องเล่นประเภทเหวี่ยงไปเหวี่ยงมานั่นแหละ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับดีกรีของแต่ละอัน อย่างว่า สวนสนุกมันตั้งบนเขา เขาจะเริ่มต้นการเที่ยวด้วย
1) เกาอี้ลอยฟ้า ไม่น่ากลัว ที่ตาข่ายรอง(ตาข่ายดูใหม่ดี)
2) ส่วนของสวนสัตว์ประทับใจมาก เห็นหมีตัวโต โตจริงๆยืนขึ้นมาทีสูงเท่าขอบกระจกด้านบนของบัส!!!~
ที่จริงในส่วน zootopia ก๊มีหมีขาวกับเพนกวินอาบแดดไม่ต้องอยู่ในห้องแอร์แบบตอนมาอยู่บ้านเรา คนที่แวะเข้าไปจะได้เกาะตู้ดูแมวน้ำว่ายน้ำแบบใกล้ชิด ได้วิ่งเล่นกับบรรดาแพะแกะจริงๆก็ไม่ใช่วิ่งเล่นหรอก เห็นใครถือกล่องอะไรมันก็จะคิดว่าเป็นกล่องของกิน วิ่งตามกันเป็นพรวนเลย น่ากลัวดี มันคงจะคุ้นกับคน แบบสัตว์ที่สูยเสียความเป็นสัตว์น่านแหละ
3) อีกส่วนก็จะเป็นสวนดอกไม้ ใกล้ๆส่วนรีสอร์ต ไม่ได้แวะเพราะถ่ายรูปกับดอกไม้ไม่ไหว ไม่อยากข่มมัน!?!?!?!
ปู๊นนน 14.30 น. .... หมดเวลา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
7. Transportation
การคมนาคมสายหลักของที่นี่คือรถไฟฟ้า และการเดินทางส่วนใหญ่จะไปโดยรถไฟฟ้ามันจึงมีเรื่องให้เม้าท์เยอะเลย
7.1 อย่างแรกก็คือ รถไฟฟ้าที่นี่มีหลายสายมากๆเป็นเครือข่ายทั่วไทยโยงใยทั่วโลก เอ๊ยไม่ใช่ เป็นเครือข่ายทั่วโซลและถึงแม้จะเรียกมันว่าsubway แต่มันไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ใต้ดินเท่านั้น ทั้งใต้ดินลอยฟ้า ระดับเดียวกับดิน เชื่อมถึงกันหมดโดยไม่ต้องออกจากสถานี
7.2 ไม่ว่าจะซอกหลืบไหน เข้ามาในรถไฟอะ หลงไปหลงมาก็เจอเอง
7.3 เวลาจะเปลี่ยนสายรถก็มึนๆ ไม่รู้ว่าจะต้อง ขึ้นตรงไหน ลงตรงไหน ขึ้นรถขบวนไหน มันมีเยอะเหลือเกิน
o บางสถานีโดยเฉพาะสายเก่าๆมันไม่มีกระจกกั้นแบบMRT-เป็นแบบเปิดโล่ง รถไฟมาแต่ละทีก็จะสัมผัสได้ถึง
o ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือตัวรถมันนี่แหละ ด้วยขบวนจะยาวเหยียด ไม่รู้กี่ตู้ ไม่ได้นับ ดูวีทีอาร์บอกประมาณว่าพอประตูมันนึกจะปิดก็ปิด มิใยว่าใครจะถูกหนีบ
7.4 อีกอย่างที่รถไฟฟ้าที่นี่ต่างจากบ้านเราก็คือ..ทั้ง BTS และ MRT ไม่ให้เอาของกินเข้าไป..ไอ้เราก็นึกว่ามันจะเหมือนกัน ทำตัวเป็นคนดี..ทนหิวน้ำอยู่ตลอดทางครึ่งค่อนเมือง
7.5 ที่สถานีที่จะลงก็เห็นตู้ขายของอัตโนมัติตั้งอยู่.มีหมดเลยทั้งน้ำชากาแฟ ขนมนมเนย แถมส้วมด้วย ว้าวว้าวววว
7.6 สถานีรถไฟฟ้าที่นี่จะทีการตกแต่งต่างกันไป ถ้าเป็นสถานีที่จะไปวัง จะมีลาย รูป หรือเป็นศิลปินมาแปะงานโชว์ทั่วสถานีไปหมด
กลับมาบนถนนกันบ้าง
7.7 มีแต่รถยี่ห้อเกาหลี รุ่น-ยี่ห้อที่ไม่ค่อยเห็นในบ้านเรา
7.8 ส่วนรถเมล์ไม่ได้ขึ้น
7.9 ถนนช่วง 5-6 โมงรถยังติดมหากาฬ ขึ้นแม็กซี่แทบหมดตัว ยืนยันว่าติดกว่าบ้านเราอีก ขนาดคนส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้ากันนะนั่น
7.10 แท็กซี่ก็เป็นมิเตอร์ธรรมดาก็มี เริ่มที่ 2400 วอน ต่างกันตรงที่เวลามิเตอร์จะขึ้นมันจะcount downตามล้อหมุน…วิ่งเร็วก็count downเร็ว วิ่งช้าก็ช้า พอรถหยุดก็เร็วอีก
ข้อดีของแท็กซี่ที่นี่ก็คือมันรู้ตัวว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษ เขาก็มีcall centerบริการล่ามฟรี คุยกับแท็กซี่ให้ ไม่เหมือนบ้านเรา ติดสติกเกอร์ว่า I love farang เอาเข้าจริงก็ไม่แน่ โธ่เอ๊ย
ที่สาปส่ง คือมันไม่รู้จักที่พักแต่ดันรับเราขึ้นไปวนครึ่งเมือง เสียไปเกือบ หมื่นวอน..
ฮึ่มมม!!วอนแท้แท้
++++++++++++++++++++++++++++
The End of Part 1
ป้ายกำกับ:
การท่องเที่ยว,
กิมจิ,
เกาหลี,
โซล,
รายงาน,
วัง,
เอเวอร์แลนด์
ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23
สรุปรายงานการสังเกตุการณ์-การแข่งขัน
การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 เป็นมหกรรมการแข่งขันเรือใบนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก กลับมาสร้างปรากฏการณ์แห่งกีฬาทางน้ำครั้งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คนเข้าสู่เกาะภูเก็ต
งานแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 ประกาศศักดิ์ศรีการแข่งขันเรือใบที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ด้วยทัพเรือใบที่เข้าร่วมแข่งขันกว่า 111 ลำ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คน ให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์
ความเป็นมา
งานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา โดยมีการจัดงานในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมของทุกปีนับแต่ 2530 เป็นต้นมา
งานครั้งนี้จัดขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินงานโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ซึ่งอยู่ภายใต้การอำนวยการแข่งของสโมสรเรือใบราชวรุณ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพเรือ และจังหวัดภูเก็ต
สำหรับงานในปี 2552 กองทัพเรือ ภาคที่ 3 ซึ่งรับผิดชอบชายฝั่งทะเลอันดามันรวมทั้งจังหวัดภูเก็ตได้ร่วมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการขนส่งและอุปกรณ์เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ เรือ เฮลิคอปเตอร์และหน่วยรบมนุษย์กบ (Sea-Air-Land Team - SEAL) ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสนามแข่งขัน
ผู้สนับสนุนร่วม....เบียร์ช้าง Coca-Cola ไวน์ น้ำสิงห์
เบียร์ช้างยังให้ช่วยสร้างสีสันให้การแข่งขันในครั้งนี้ด้วยการจัดงานเลี้ยง “ช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์” ในฐานะผู้สนับสนุนงานรีกัตต้าอย่างเป็นทางการ ภายในงานจะมีดีเจและศิลปินชื่อดังของเมืองไทยมาเปิดการแสดงบนหาดกะรนอันสวยงาม ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน โดยจะเปิดให้สาธารณชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้อีกด้วย โดยงานช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์ ดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 2 ธันวาคม 2552
เจ้าภาพ
โรงแรมในเครือกะตะ กรุ๊ป ผู้สนับสนุนสถานที่ ยังคงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเพื่อให้การต้อนรับแก่บรรดาลูกเรือผู้ร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตาม คณะผู้จัดงานและเหล่าอาสาสมัคร ซึ่งในฐานะเจ้าบ้านของงานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้ามานานกว่าทศวรรษ
โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จึงมีความพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของการแข่งขันเรือใบครั้งนี้ (ปีที่ผ่านมาโรงแรมภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท ในเครือกะตะ กรุ๊ป ยังได้รับการโวตให้เป็น “โรงแรมเพื่อครอบครัวยอดเยี่ยม (Best Family Hotel)” จากเว็บไซต์ Thomascook.com )
ผู้แข่งขันที่มาร่วมงานรีกัตต้าในปี 2552
เดินทางมาจากทั้งประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และอื่นๆ อีกมากมาย
รายนามผู้สนับสนุนงานภูเก็ต รีกัตต้า
ประกอบด้วย กะตะกรุ๊ป, เบียร์ช้าง (บ.ไทยเบฟเวอเรจ), ไวน์มองต์แคลร์ (บ.สยามไวน์เนอรี่), หม่อมตรีโบ๊ทเฮาส์, เดอะ มัวริงส์, และ หาดทิพย์ บจก. (โค๊ก) ส่วนพันธมิตรสื่อมวลชนของงานครั้งนี้ ได้แก่ Asia Pacific Boating, Blue Wave 90.5FM, Ensign Media, Multihull World, The Nation, Phuket Gazette, Prestige Thailand, Sail-World.com, Superyacht Asia Magazine และ Yacht Style
++++++++++++++
สรุปผล และสถานการณ์การแข่งขันวันแรกที่สังเกตุการณ์
6.00 am.
1. ลมไม่แรงอย่างที่คาดการณ์ แต่การแข่งขันบนผืนน้ำก็ดุเดือดไม่น้อย กองทัพเรือใบที่ร่วมแข่งขันต่างสำแดงพลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคเอเชีย
2. รายการแข่งขันในวันนี้สนับสนุนโดยกองทัพเรือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโคคา โคล่า
3. ผลจากการแข่งขันเรือใบประเภท Racing Class ทั้งสามรอบในวันแรก ปรากฏว่า
1) เรือ HiFi ของเนล ไพรด์ สามารถรั้งตำแหน่งผู้นำ
2) อันดับสอง ตามติดมาด้วยเรือ Jelik II ของแฟรงค์ ปอง โดยเรือ Jelik II แล่นเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในสองรอบแรกจากจำนวนสามรอบ(ด้วยลีลาอันน่าประทับใจ และเป็ที่กล่าวขวัญ บนเรือสังเกตุการณ์ชั้น 2 อย่างมาก)
- รวมเวลาแล้ว ปรากฏว่าเรือ HiFi กลับทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อ
- รวมจำนวนรอบทั้งหมด โดยมีนิค เบิร์นส นำเรือ EFG Bank Mandrake เข้าเป็นอันดับสาม
4. ประเภท IRC 1
1) เรือ Ichi Ban ของแมตต์ อัลเลน นำหน้าผู้แข่งขันรายอื่นด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งทั้งสามรอบ
2) เรือ Katsu และเรือ L’autre Femme เข้าเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ
5. ประเภท IRC 2
1) เรือ Team Bentlely นำหน้าเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
2) เรือ Puma เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) เรือราชนาวีไทย 1 (Royal Thai Navy 1) เป็นอันดับสาม
6. ประเภท Multihull Racing
1) เรือ Thor ของเฮนรี่ เคย์ ครองตำแหน่งผู้นำในการแข่งขันทั้งสามรอบตั้งแต่จุดสตาร์ทจนถึงเส้นชัย
2) เรือ Seamico Cedar เข้า--ระดับ กาญจนวณิชย์แล่นสู่เส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) อันดับสามตกเป็นของเรือ Sting
3.00 pm.
++++++++++++++
ต่อเรื่องโอกาสแนวโน้มการลงทุนและประเด็นพิจารณา ฉบับหน้า (ให้คนอื่นทำ)
การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 เป็นมหกรรมการแข่งขันเรือใบนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก กลับมาสร้างปรากฏการณ์แห่งกีฬาทางน้ำครั้งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คนเข้าสู่เกาะภูเก็ต
งานแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 ประกาศศักดิ์ศรีการแข่งขันเรือใบที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ด้วยทัพเรือใบที่เข้าร่วมแข่งขันกว่า 111 ลำ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คน ให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์
ความเป็นมา
งานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา โดยมีการจัดงานในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมของทุกปีนับแต่ 2530 เป็นต้นมา
งานครั้งนี้จัดขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินงานโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ซึ่งอยู่ภายใต้การอำนวยการแข่งของสโมสรเรือใบราชวรุณ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพเรือ และจังหวัดภูเก็ต
สำหรับงานในปี 2552 กองทัพเรือ ภาคที่ 3 ซึ่งรับผิดชอบชายฝั่งทะเลอันดามันรวมทั้งจังหวัดภูเก็ตได้ร่วมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการขนส่งและอุปกรณ์เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ เรือ เฮลิคอปเตอร์และหน่วยรบมนุษย์กบ (Sea-Air-Land Team - SEAL) ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสนามแข่งขัน
ผู้สนับสนุนร่วม....เบียร์ช้าง Coca-Cola ไวน์ น้ำสิงห์
เบียร์ช้างยังให้ช่วยสร้างสีสันให้การแข่งขันในครั้งนี้ด้วยการจัดงานเลี้ยง “ช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์” ในฐานะผู้สนับสนุนงานรีกัตต้าอย่างเป็นทางการ ภายในงานจะมีดีเจและศิลปินชื่อดังของเมืองไทยมาเปิดการแสดงบนหาดกะรนอันสวยงาม ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน โดยจะเปิดให้สาธารณชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้อีกด้วย โดยงานช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์ ดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 2 ธันวาคม 2552
เจ้าภาพ
โรงแรมในเครือกะตะ กรุ๊ป ผู้สนับสนุนสถานที่ ยังคงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเพื่อให้การต้อนรับแก่บรรดาลูกเรือผู้ร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตาม คณะผู้จัดงานและเหล่าอาสาสมัคร ซึ่งในฐานะเจ้าบ้านของงานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้ามานานกว่าทศวรรษ
โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จึงมีความพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของการแข่งขันเรือใบครั้งนี้ (ปีที่ผ่านมาโรงแรมภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท ในเครือกะตะ กรุ๊ป ยังได้รับการโวตให้เป็น “โรงแรมเพื่อครอบครัวยอดเยี่ยม (Best Family Hotel)” จากเว็บไซต์ Thomascook.com )
ผู้แข่งขันที่มาร่วมงานรีกัตต้าในปี 2552
เดินทางมาจากทั้งประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และอื่นๆ อีกมากมาย
รายนามผู้สนับสนุนงานภูเก็ต รีกัตต้า
ประกอบด้วย กะตะกรุ๊ป, เบียร์ช้าง (บ.ไทยเบฟเวอเรจ), ไวน์มองต์แคลร์ (บ.สยามไวน์เนอรี่), หม่อมตรีโบ๊ทเฮาส์, เดอะ มัวริงส์, และ หาดทิพย์ บจก. (โค๊ก) ส่วนพันธมิตรสื่อมวลชนของงานครั้งนี้ ได้แก่ Asia Pacific Boating, Blue Wave 90.5FM, Ensign Media, Multihull World, The Nation, Phuket Gazette, Prestige Thailand, Sail-World.com, Superyacht Asia Magazine และ Yacht Style
++++++++++++++
สรุปผล และสถานการณ์การแข่งขันวันแรกที่สังเกตุการณ์
6.00 am.
1. ลมไม่แรงอย่างที่คาดการณ์ แต่การแข่งขันบนผืนน้ำก็ดุเดือดไม่น้อย กองทัพเรือใบที่ร่วมแข่งขันต่างสำแดงพลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคเอเชีย
2. รายการแข่งขันในวันนี้สนับสนุนโดยกองทัพเรือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโคคา โคล่า
3. ผลจากการแข่งขันเรือใบประเภท Racing Class ทั้งสามรอบในวันแรก ปรากฏว่า
1) เรือ HiFi ของเนล ไพรด์ สามารถรั้งตำแหน่งผู้นำ
2) อันดับสอง ตามติดมาด้วยเรือ Jelik II ของแฟรงค์ ปอง โดยเรือ Jelik II แล่นเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในสองรอบแรกจากจำนวนสามรอบ(ด้วยลีลาอันน่าประทับใจ และเป็ที่กล่าวขวัญ บนเรือสังเกตุการณ์ชั้น 2 อย่างมาก)
- รวมเวลาแล้ว ปรากฏว่าเรือ HiFi กลับทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อ
- รวมจำนวนรอบทั้งหมด โดยมีนิค เบิร์นส นำเรือ EFG Bank Mandrake เข้าเป็นอันดับสาม
4. ประเภท IRC 1
1) เรือ Ichi Ban ของแมตต์ อัลเลน นำหน้าผู้แข่งขันรายอื่นด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งทั้งสามรอบ
2) เรือ Katsu และเรือ L’autre Femme เข้าเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ
5. ประเภท IRC 2
1) เรือ Team Bentlely นำหน้าเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
2) เรือ Puma เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) เรือราชนาวีไทย 1 (Royal Thai Navy 1) เป็นอันดับสาม
6. ประเภท Multihull Racing
1) เรือ Thor ของเฮนรี่ เคย์ ครองตำแหน่งผู้นำในการแข่งขันทั้งสามรอบตั้งแต่จุดสตาร์ทจนถึงเส้นชัย
2) เรือ Seamico Cedar เข้า--ระดับ กาญจนวณิชย์แล่นสู่เส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) อันดับสามตกเป็นของเรือ Sting
3.00 pm.
++++++++++++++
ต่อเรื่องโอกาสแนวโน้มการลงทุนและประเด็นพิจารณา ฉบับหน้า (ให้คนอื่นทำ)
กรณีสำคัญที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการท่องเที่ยวไทย
กรณีสำคัญที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการท่องเที่ยวไทยอีกครั้งหนึ่ง หลังเหตุการณ์ของสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ไม่อาจทนรอความตายได้อีกต่อไป หลังจากเมื่อกลางปี52ที่พากันยกขบวนไปพบ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอร้องให้เข้ามานั่งหัวโต๊ะเมื่อมีการประชุมวาระแห่งชาติว่าด้วยเรื่องการท่องเที่ยว คู่กับ ชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อย่างน้อย 2-3 เดือนครั้งก็ยังดี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีจะได้รับทราบปัญหาต่างๆ ของธุรกิจการท่องเที่ยว และสามารถสั่งการแก้ปัญหาได้อย่างฉับไว เพราะที่ผ่านมางานทุกอย่างเกิดความล่าช้าเนื่องจากตัวของรัฐมนตรีเองที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ
นัยว่าน่าเห็นใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่โดนผลกระทบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ และโรคระบาด ก้อจริงยู้ แต่บางรายก้อไม่น่าเห็นใจร๊อก เพราะมีพฤติการณ์เห็นแก่ได้เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นหัวคนไทย ยามยากก้อบากหน้าเรียกร้องให้มาเที่ยว( คนไทยเบื่ออ่ะ)
ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่สุขภาพไม่ดีของรัฐมนตรีเองหรือเปล่า คนเราลองสุขภาพไม่ดีเสียแล้ว สมองคงสั่งการได้ไม่เต็มร้อย เผลอๆ ต้องอาศัย “การสุมหัว” จากคนใกล้ชิดมาช่วยวางแผนให้ ว่าควรจะทำอะไรบ้างไปวันๆ
อาจเป็นเพราะDNAไม่เหมาะกับงาน หรือ มีสายบังเหียนบังคับตรงมาจนไม่อยากเข้ามายุ่งล่ะ คิดแล้วก็อยากป่วยอยู่
เมื่อคราวที่บรรดาสหภาพแรงงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปถือป้ายไล่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานบอร์ด ททท.ออกจากตำแหน่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา มองดูแผงบริหารไหงหน้าตาแปลก เช่น วันนั้น มี
1. พี่วีประธานบอร์ด
2. รัฐมนตรีว่ากระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา(เหงาๆ)
แล้วยังยังมีตระกูลม้ายกมาบังคับบัญชาหน้าตาเฉยๆๆๆๆๆ อาทิ
3. ขาเก๋าบรรหาร ศิลปอาชา (ที่ชอบเรียกตัวเองว่าและให้คนอื่นขานเรียกว๊า.นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แทนคำว่าอดีตนายกรัฐมนตรี)
4. น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา นี่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชำนาญการระดับไหน ใครตั้ง (ถามป้อ)ลูกสาวของบรรหารรวมอยู่ที่นั่นด้วย
มันงงๆว่าเป็นที่มั่นของตระกูลตั้งกะเมื่อไหร่ แล้วใครอนุญาติให้มาหากิน เอ๊ย มาทำงง ทำง่าน ที่นี่
เอ หรือมันเป็นกระทรวงการศิลปอาชาเพื่อการท่องเที่ยวสุพรรณ
อ๊ายอาย
คือที่มั่น ที่มัน ที่หา .... ตั้งตนเป็นเจ้าของกระทรวงซะเลย
อ้อ ตอนนี้ พ่อตั้งให้ลูกเป็นที่ปรึกษาผ่านน้าชาย(ตอบอะไรได้มั่งล่ะ ฮุฮุ)
เอ๊า ข้อคิด
1. ไม่สามารถครองใจคนในให้อยู่ และชนะใจคนนอกก็ไม่ได้...อยู่ไปก็ลำบาก
2. ขนาดพนักงาน ที่มีบุคลิกเรียบร้อย ร้อยวันพันปีไม่เคยเคลื่อนไหวอะไร ยังทนไม่ได้ ต้องออกมาเรียกร้องไล่ “คนที่ไม่เกี่ยวข้อง” ออกไปให้พ้นๆ
3. กระทรวงทำอะไรอยู่อย่าสร้างส้วมต่อไปเลยสู้ส้วมวัดก็ไม่ได้ (แบบนี้อย่าหาเรื่องไปโอน-ส้วมมาเป็นของตัวนะ)
4. ปากผู้บริหารระดับรัฐมนตรี ที่ให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่าทนไม่ได้ที่ “มีคนนอก”( ครือคนนอกพวกตน)มาดึงงบประมาณไปเป็นประโยชน์เฉพาะพวกตน
5.บรรหาร ศิลปอาชา ตอบโต้ว่าไม่จริง ไม่เคยดึงงบ ททท.ไปลงสุพรรณบุรี
6. หลังจากนั้นไม่กี่วัน สภาพัฒน์ก็ส่ง “ใบเสร็จ” มาให้ดูว่ามีการโอนงบประมาณการทำห้องน้ำตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ รวม 10 แห่ง จำนวน 28 ล้านบาท ไปเป็นงบปรับปรุงภูมิทัศน์หน้าศาลหลักเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี ซะฉิบ
7. หลักฐานชี้ชัดแบบนี้จะให้แก้ตัวอย่างไรกันดี ผู้รู้โปรดแนะ????
ที่ตอนนี้ต่างประเทศที่เป็นคู่แข่งขันก็คงจะยิ้มจนแก้มปริและโกยนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในช่วงเวลาที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังพาหลานลูกพี่เที่ยว
นัยว่าน่าเห็นใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่โดนผลกระทบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ และโรคระบาด ก้อจริงยู้ แต่บางรายก้อไม่น่าเห็นใจร๊อก เพราะมีพฤติการณ์เห็นแก่ได้เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นหัวคนไทย ยามยากก้อบากหน้าเรียกร้องให้มาเที่ยว( คนไทยเบื่ออ่ะ)
ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่สุขภาพไม่ดีของรัฐมนตรีเองหรือเปล่า คนเราลองสุขภาพไม่ดีเสียแล้ว สมองคงสั่งการได้ไม่เต็มร้อย เผลอๆ ต้องอาศัย “การสุมหัว” จากคนใกล้ชิดมาช่วยวางแผนให้ ว่าควรจะทำอะไรบ้างไปวันๆ
อาจเป็นเพราะDNAไม่เหมาะกับงาน หรือ มีสายบังเหียนบังคับตรงมาจนไม่อยากเข้ามายุ่งล่ะ คิดแล้วก็อยากป่วยอยู่
เมื่อคราวที่บรรดาสหภาพแรงงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปถือป้ายไล่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานบอร์ด ททท.ออกจากตำแหน่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา มองดูแผงบริหารไหงหน้าตาแปลก เช่น วันนั้น มี
1. พี่วีประธานบอร์ด
2. รัฐมนตรีว่ากระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา(เหงาๆ)
แล้วยังยังมีตระกูลม้ายกมาบังคับบัญชาหน้าตาเฉยๆๆๆๆๆ อาทิ
3. ขาเก๋าบรรหาร ศิลปอาชา (ที่ชอบเรียกตัวเองว่าและให้คนอื่นขานเรียกว๊า.นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แทนคำว่าอดีตนายกรัฐมนตรี)
4. น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา นี่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชำนาญการระดับไหน ใครตั้ง (ถามป้อ)ลูกสาวของบรรหารรวมอยู่ที่นั่นด้วย
มันงงๆว่าเป็นที่มั่นของตระกูลตั้งกะเมื่อไหร่ แล้วใครอนุญาติให้มาหากิน เอ๊ย มาทำงง ทำง่าน ที่นี่
เอ หรือมันเป็นกระทรวงการศิลปอาชาเพื่อการท่องเที่ยวสุพรรณ
อ๊ายอาย
คือที่มั่น ที่มัน ที่หา .... ตั้งตนเป็นเจ้าของกระทรวงซะเลย
อ้อ ตอนนี้ พ่อตั้งให้ลูกเป็นที่ปรึกษาผ่านน้าชาย(ตอบอะไรได้มั่งล่ะ ฮุฮุ)
เอ๊า ข้อคิด
1. ไม่สามารถครองใจคนในให้อยู่ และชนะใจคนนอกก็ไม่ได้...อยู่ไปก็ลำบาก
2. ขนาดพนักงาน ที่มีบุคลิกเรียบร้อย ร้อยวันพันปีไม่เคยเคลื่อนไหวอะไร ยังทนไม่ได้ ต้องออกมาเรียกร้องไล่ “คนที่ไม่เกี่ยวข้อง” ออกไปให้พ้นๆ
3. กระทรวงทำอะไรอยู่อย่าสร้างส้วมต่อไปเลยสู้ส้วมวัดก็ไม่ได้ (แบบนี้อย่าหาเรื่องไปโอน-ส้วมมาเป็นของตัวนะ)
4. ปากผู้บริหารระดับรัฐมนตรี ที่ให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนว่าทนไม่ได้ที่ “มีคนนอก”( ครือคนนอกพวกตน)มาดึงงบประมาณไปเป็นประโยชน์เฉพาะพวกตน
5.บรรหาร ศิลปอาชา ตอบโต้ว่าไม่จริง ไม่เคยดึงงบ ททท.ไปลงสุพรรณบุรี
6. หลังจากนั้นไม่กี่วัน สภาพัฒน์ก็ส่ง “ใบเสร็จ” มาให้ดูว่ามีการโอนงบประมาณการทำห้องน้ำตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ รวม 10 แห่ง จำนวน 28 ล้านบาท ไปเป็นงบปรับปรุงภูมิทัศน์หน้าศาลหลักเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี ซะฉิบ
7. หลักฐานชี้ชัดแบบนี้จะให้แก้ตัวอย่างไรกันดี ผู้รู้โปรดแนะ????
ที่ตอนนี้ต่างประเทศที่เป็นคู่แข่งขันก็คงจะยิ้มจนแก้มปริและโกยนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในช่วงเวลาที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังพาหลานลูกพี่เที่ยว
10คำสาปสุดยอดของโลก!!!
10คำสาปสุดยอดของโลก!!!
อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาปย่ะ นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทนย่ะ
อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส
วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนนะ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!
ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธินะ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง
อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ
ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา
อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์
สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า ?ปล่องไฟปีศาจ? และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย ?ปล่องไฟปีศาจ? ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยอ่ะ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!
อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์
สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้นะ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน
ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์หนุ่มที่ถูกกล่าวถึงกันมากในเรื่องอาถรรพ์จากคำสาปที่นักบวชแดนไอย์คุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของพระองค์ ข้อความคลังเปี่ยมด้วยอาถรรพ์ที่ว่า "มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์" ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อกันว่า ความตายเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป
นับแต่สุสานถูกเปิดเมื่อปี 1922 ผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คน และเล่ากันว่า นับจากนั้นมาแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา รวมถึงลอร์ดคาร์นาร์วอน เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตลงหลังจากถูก ?ยุงกัด?
"ตุตันคาเมน" เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนม์เพียง 10 พรรษา ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล ภายหลังขึ้นครองราชย์ได้เปลี่ยนพระนามเป็น ?ตุตันคามุน?
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์เพียงแค่ 18 พรรษาโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวออกมาแย้งว่าจากการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่พบว่าพระองค์น่าจะสิ้นพระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อมากกว่าถูกลอบปลงพระชนม์
ด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้ทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก นอกจากนั้นหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย
จนกระทั่งในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1922 โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ และลอร์ด คาร์นาวอน ชาวอังกฤษค้นพบสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก พวกเขาเป็นสองคนแรกที่เข้าไปในสุสานของตุตันคาเมนในรอบ 3,000 ปี ในห้องที่พวกเขาพบเต็มไปด้วยทองคำและของมีค่ามากมาย ซึ่งเจ้าของของสิ่งมีค่าเหล่านี้คือฟาโรห์หนุ่มที่มีพระนามว่า "ตุตันคาเมน" นั่นเอง
เนื่องจากพระศพและสุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ เลยรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้ จึงทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงไม่วายถูกรบกวนหลังจากโลงพระศพถูกเปิด อาถรรพ์ของคำสาปจึงเป็นเกราะอย่างหนึ่งที่จะทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงได้พักผ่อนอย่างสงบตลอดกาล
________________________________________
อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่ง อังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะยะ ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่ อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจังอ ย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน
อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ
ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมันอ่ะ
อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960) เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด
อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)
นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลยนะ โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ไอ้งูตัวแสบซิยะ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิยะ โดยไอ้งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้
อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาปย่ะ นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทนย่ะ
อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส
วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนนะ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!
ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธินะ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง
อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ
ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา
อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์
สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า ?ปล่องไฟปีศาจ? และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย ?ปล่องไฟปีศาจ? ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยอ่ะ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!
อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์
สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้นะ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน
ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์หนุ่มที่ถูกกล่าวถึงกันมากในเรื่องอาถรรพ์จากคำสาปที่นักบวชแดนไอย์คุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของพระองค์ ข้อความคลังเปี่ยมด้วยอาถรรพ์ที่ว่า "มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์" ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อกันว่า ความตายเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป
นับแต่สุสานถูกเปิดเมื่อปี 1922 ผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คน และเล่ากันว่า นับจากนั้นมาแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา รวมถึงลอร์ดคาร์นาร์วอน เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตลงหลังจากถูก ?ยุงกัด?
"ตุตันคาเมน" เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนม์เพียง 10 พรรษา ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล ภายหลังขึ้นครองราชย์ได้เปลี่ยนพระนามเป็น ?ตุตันคามุน?
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์เพียงแค่ 18 พรรษาโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวออกมาแย้งว่าจากการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่พบว่าพระองค์น่าจะสิ้นพระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อมากกว่าถูกลอบปลงพระชนม์
ด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้ทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก นอกจากนั้นหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย
จนกระทั่งในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1922 โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ และลอร์ด คาร์นาวอน ชาวอังกฤษค้นพบสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก พวกเขาเป็นสองคนแรกที่เข้าไปในสุสานของตุตันคาเมนในรอบ 3,000 ปี ในห้องที่พวกเขาพบเต็มไปด้วยทองคำและของมีค่ามากมาย ซึ่งเจ้าของของสิ่งมีค่าเหล่านี้คือฟาโรห์หนุ่มที่มีพระนามว่า "ตุตันคาเมน" นั่นเอง
เนื่องจากพระศพและสุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ เลยรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้ จึงทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงไม่วายถูกรบกวนหลังจากโลงพระศพถูกเปิด อาถรรพ์ของคำสาปจึงเป็นเกราะอย่างหนึ่งที่จะทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงได้พักผ่อนอย่างสงบตลอดกาล
________________________________________
อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่ง อังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะยะ ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่ อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจังอ ย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน
อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ
ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมันอ่ะ
อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960) เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด
อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)
นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลยนะ โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ไอ้งูตัวแสบซิยะ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิยะ โดยไอ้งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้
เทวดา’ ‘เทพ’ หรือ ‘เทพธิดา’ หรือ ‘นางฟ้า’
เมื่ออ่านวรรณคดี คำว่า ‘เทวดา’ ‘เทพ’ หรือ ‘เทพธิดา’ หรือ ‘นางฟ้า’ มักจะปะปนอยู่ในเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นนิทานสำหรับเด็ก หรือวรรณคดีชั้นเรียนในมหาวิทยาลัย บางครั้งถ้าเป็นการแปลก็อาจเกิดความข้องใจขึ้นมาว่า คำว่า angel , god หรือ fairy นี้ ควรแปลว่าเป็นเทวดาประเภทไหน หรือถ้าจะแปลกลับจากไทยเป็นอังกฤษ เช่น พระอินทร์หรือนางฟ้าที่อยู่ในนิทานเด็ก ควรจะใช้คำแปลว่าอะไร ผู้แปลบางคนอาจแปลรวมกันไปหมด โดยเฉพาะแปลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นจากคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนา หรือนางฟ้าในเรื่องซินเดอเรลลา ก็แปลว่าเทวดาไปหมด ความจริงแล้วฝรั่งเขาแบ่งเทวดาเอาไว้หลายพวก หรือไทยเองก็เช่นกัน ดังจะได้อธิบายต่อไป
เทวดาฝรั่งประเภทแรกที่จะเอ่ยถึง คือเทวดาในคริสต์ศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนานี้ย่อมจะนึกภาพออก ภาพวาดมักจะเป็นชายรูปร่างแบบมนุษย์ สวยงาม สวมชุดขาวยาว และมีปีกใหญ่ มันจะมาติดต่อกับมนุษย์เวลาพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งกับมนุษย์ผู้นั้น เทวดาพวกนี้เป็นพวก angel คือพวกที่ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ เป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นอยู่บนสวรรค์ รับใช้และร้องเพลงสวดสรรเสริญ ภาษาไทยใช้คำว่า “ทูตสวรรค์” ซึ่งมีความหมายเข้ากับเรื่องได้ดี ทูตสวรรค์เหล่านี้บางองค์ก็ได้ชื่อว่า นักบุญ ด้วย เช่น เซนต์กาเบรียล เป็นชื่อโรงเรียนที่รู้จักกันดี
ทูตสวรรค์เหล่านี้มีอยู่ทั้งหมด ๙ ระดับด้วยกัน เดิมในคัมภีร์เก่าของคริสต์ศาสนามีอยู่ ๔ ระดับ คือ Archangels, angels, Cherubims หรือ seraphims แต่ในคัมภีร์ใหม่ที่นักบุญพอลรวบรวมและเรียบเรียงนั้น ได้เพิ่มระดับทูตสวรรค์เข้าไปอีก ๕ ได้แก่ Virtues, Powers, Principalitics, dominions และ thrones ซึ่งทูตสวรรค์อีก ๕ ระดับนี้ทางโรมันคอทอลิก ได้ประกาศรับรองเป็นทางการเมื่อศตวรรษที่สี่
ทูตสวรรค์ที่คนไทยอาจเห็นรูปหรือได้ยินผ่านหูมากก็มี archangels เป็นระดับสูงสุดของทั้ง ๙ ทำหน้าที่คล้ายระดับรัฐมนตรีของสวรรค์ เมื่อเกิดสงครามบนสวรรค์ราว ลูซิเฟอร์คิดกบฏ เทวดาชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ก็นำขบวนไปรบปราบปราม ได้แก่ ไมเคิล เกเบรียล และ ราฟาแอล โดยมีไมเคิลเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ลูซิเฟอร์เองก็รวมอยู่ในเทวดาชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ แต่เมื่อแพ้ก็ตกจากสวรรค์สู่นรกกลายเป็นพญามารไป ส่วนอีกสองประเภทที่อาจเคยเห็นกัน ก็ได้แก่เทวดาที่มีลักษณะเหมือนเด็กทารก มีปีกเล็กๆมักอยู่ตามรูปวาดรูปปั้นต่างๆในยุโรป หรือในบัตรอวยพร ถ้าไม่มีธนู ไม่มีคันศร ก็คือ ทูตสวรรค์ ประเภท Cherulim กับ Seraphim ซึ่งเดิมก็มีรูปร่างแบบทูตสวรรค์อื่นๆ แต่จิตรกรสมัยเรเนสซังส์ (ศตวรรษที่ ๑๖)ของยุโรป ได้เขียนให้เป็นทารกไป บางทีจึงสับสนกับคิวปิดกามเทพแห่งตำนานกรีกและโรมัน ซึ่งมีรูปเป็นเด็กเช่นกันหากแต่ถือศร และคำว่า Cherubim นี้ได้กลายมาเป็นคุณศัพท์ หมายถึงเด็กที่หน้าตาน่ารักหรือผู้ที่มีใบหน้ากลม แก้มเป็นพวงเหมือนเด็ก
สำหรับเทวดาไทย หรือพูดให้ถูกเทวดาอินเดียที่ไทยรับมาเป็นไทย เช่น พระอินทร์ พระอาทิตย์ พระอิศวร พระพรหม นั้น ตรงกับคำว่า gods เป็นเทพเจ้า ไม่ใช่ทูตสวรรค์ พระอุมาหรือพระลักษมีนั้น คือ goddesses เป็นเพศหญิงของคำว่า gods เทพเจ้าเหล่านี้ประทับอยู่บนสวรรค์และในที่ต่างๆบนโลกดังจะแบ่งได้ดังนี้
สวรรค์นั้นแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท ประเภทแรก คือ ฉกามาพจร สวรรค์หกชั้นแรกสำหรับเทพที่ยังเวียนว่ายตายเกิด และเทพผู้ทำหน้าที่ต่างๆให้กับโลก ผู้ที่ตายไปถ้าทำความดีก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์หนึ่งในหกนี้ จนหมดบุญ กามนิตและวาสิฏฐีก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ระดับนี้ ชื่อเรียงลำดับนับแต่ต่ำสุดไปจนสูงสุด ก็คือ
๑. จตุมหาราชิก หรือ จตุมหาราช เป็นที่อยู่ของท้าวโลกบาลทั้งสี่ ผู้รักษาทิศทั้งสี่ในโลก
๒. ดาวดึงส์ ที่ประทับของพระอินทร์
๓. ยามา
๔. ดุสิต ที่ประทับของพระโพธิสัตว์
๕. นิมมานรดี
๖. ปรนิมมิตวสวตี พญามารที่มาผจญพระพุทธเจ้าอยู่ชั้นนี้ เพราะเป็นผู้ที่ยังสัตว์โลกและผู้มีกิเลสให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ จึงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือเทวดา เพราะเทวดาเหล่านี้ก็ยังมีกิเลสเหมือนกัน
ส่วนอีกประเภทของสวรรค์ คือ สวรรค์ชั้นพรหม มี ๑๖ ชั้น มีพรหมระดับต่างๆกันล้วนเป็นผู้พ้นจากกิเลส คำว่า พรหมลิขิต ก็คือลิขิตของพระพรหมผู้สร้างโลกและสร้างสวรรค์ทั้งหมดนี้ อยู่คนละแห่งกับพระอินทร์และก็สูงกว่าพระอิศวร ซึ่งประทับบนยอดเขาพระสุเมรุหลังคาโลก ต่ำกว่าสวรรค์ และสูงกว่าพระนารายณ์ ซึ่งอยู่ที่เกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) ซึ่งเป็นทะเลบนโลก แต่ในรามเกียรติ์ของไทย ดูจะลดพระพรหมลงต่ำกว่าพระอิศวรเสียอีก
เทวดาฝรั่งอีกประเภท ที่คนไทยเคยอ่านเคยได้ยินกันบ่อย คือพวกที่อยู่ในนิทานสำหรับเด็กที่เรียกว่า เทพนิยาย แปลมาจาก Fairy’s tales ซึ่งหมายถึงเรื่องรวบรวมนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของฝรั่ง โดยมากก็จะมีเทวดาปะปนด้วยเกือบทุกเรื่อง เช่น แม่ทูนหัวของซินเดอเรลลา หรือ นางฟ้าที่สาปเจ้าหญิงนิทรา พวกนี้ภาษาอังกฤษใช้คำว่า fairy ภาษาไทยเราแปลว่า เทพ บ้าง เทพธิดา หรือ นางฟ้า ซึ่งพออนุโลมได้ เพราะยังไม่มีใครบัญญัติศัพท์ตรงตัวขึ้นมาใช้ ความจริง เทพ เทพธิดา หรือนางฟ้านี้ ไม่ใช่คำตรงตามความจริงนัก เพราะแฟรี่พวกนี้ไม่ใช่เทวดาและไม่ได้อยู่บนฟ้า หากแต่เป็นอมนุษย์พวกหนึ่งตามความเชื่อของยุโรปทางเหนือ อาจอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร หรือตามบ้านเรือน (ที่ไทยเรามีพวก ผีบ้าน ผีเรือน คล้ายกัน) มีอำนาจวิเศษหายตัวหรือแปลงตัวได้ บางทีก็ช่วยเหลือมนุษย์ เช่น fairy godmother ของซินเดอเรลลา รับเป็นแม่ทูนหัวคอยช่วยเวลานางเอกตกทุกข์ได้ยาก แฟรี่ที่ประทานพรให้เจ้าหญิงนิทราก็เช่นกัน แต่ที่ร้ายก็เช่นแฟรี่ที่สาปให้เจ้าหญิงนิทราให้หลับไปร้อยปี เป็นต้น แฟรี่นี้มีอยู่หลายพวก เช่นเป็นหญิงรูปร่างสวยงามมีปีกคล้ายผีเสื้อ หรือเป็นชายหญิงร่างเล็กเท่าปลายนิ้ว เต้นระบำอยู่ในแสงจันทร์ หรือเป็นผู้ชายตัวเล็ก จมูกแหลมหูแหลม ใส่หมวกแหลมๆและรองเท้าปลายแหลมเช่นกัน
มีผู้สันนิษฐาน ๒ ทาง ถึงรากศัพท์ fairy อย่างแรกคือมาจากภาษาลาตินว่า fata (ฟาตา) หมายถึงเทพชั้นรองๆในตำนานโรมันโบราณ มีหน้าที่ลิขิตชะตาของมนุษย์แต่ละคน ทำนองเดียวกับเทวดาเสวยอายุของไทย อย่างที่สองคือมาจากคำว่า faierie ของฝรั่งเศสหมายถึง มายากร หรือผู้มีอำนาจสะกดคนภายหลังกลายเป็นอมนุษย์ในความคิดฝันของคน เมื่อล่วงเข้ายุคมืดหรือยุคกลางของยุโรป สมัยนั้นผู้คนขึ้นใจทางด้านโชคลาง ไสยศาสตร์ เห็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ หรือน่ากลัวหน่อย ก็ยกให้เป็นการกระทำของ แฟรี่ เช่นแสงสว่างดวงๆในป่า ที่ไทยเรียกว่า ผีกระสือ หรือนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ฟอสฟอรัส แฟรี่ที่ปรากฏในวรรณคดีก็มี ‘ฮวนแห่งบอโดซ์’ ซึ่งน.ม.ส.ทรงแปลไว้ในชื่อเดียวกัน และ ‘ฝัน ณ กลางราตรีฤดูร้อน’ ของเชกสเปียร์ เป็นต้น
แฟรี่ของแต่ละประเทศ แตกต่างกันออกไปตามความเชื่อถือของแต่ละประเทศ ของอังกฤษ คือผู้ช่วยเหลือมนุษย์ ของไอริช คืออมนุษย์ตัวเล็กๆที่ซุกซนชอบแกล้งคนเรียกว่า Leprechan ซึ่งเป็นช่างทำรองเท้าฝีมือเยี่ยมด้วย ของฝรั่งเศสได้แก่แม่ทูนหัวของซินเดอเรลลา เป็นหญิงรูปสวยงาม สะโอดสะอง (หากแต่วอลท์ ดิสนีย์เปลี่ยนรูปไปเป็นหญิงแก่) เรียกว่า เฟ ของเยอรมันเป็นชราที่ฉลาดเฉลียว เรียกว่า ฟี ของสเปนออกจะไปทางแม่มดมากกว่าชาติอื่น ก็เช่นคนแคระในเรื่องสโนไวท์ นับเป็นแฟรี่เหมือนกัน และถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานคนรู’ (Gnomes's Mobile)ของวอลท์ ดิสนีย์ คงจะจำอมนุษย์ตัวเล็กๆได้ พวกนี้เป็นแฟรี่ เรียกว่า gnomes ไทยแปลว่า คนรู ซึ่งนับว่าถูก เพราะพวกนี้อาศัยอยู่ในดิน
แฟรี่นี้เดิมเป็นพวกใดไม่ปรากฏชัด มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นชนเผ่านีโอลิธิคในยุโรป ซึ่งเป็นชนเผ่าโดดเดี่ยว มีความเจริญมากกว่าชาติอื่น ทำให้เกิดความเชื่อว่ามีอำนาจพิเศษทำอะไรต่างๆได้ เมื่อเล่าสืบต่อๆกันมา ก็กลายเป็นผู้วิเศษไป แต่ก็มีผู้ค้นคว้าว่า น่าจะมาจากความเชื่อทางลัทธิในยุโรปโบราณบูชาเทพเจ้าต่างๆในธรรมชาติมากกว่า เมื่อคริสต์ศาสนาแพร่หลายไปถึง ลบล้างความเชื่อเก่าๆเทพเก่าแก่พวกนี้ก็คลายมนต์ขลังกลายเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังไป บวกกับความไม่เข้าใจธรรมชาติ ปรากฏการณ์ต่างๆเช่น ลมพัด หรือน้ำขึ้นน้ำลง ก็ถูกยกไปให้เป็นการกระทำของอมนุษย์พวกนี้
ชื่ออื่นๆของแฟรี่ก็มี เช่น elf (เอลฟ์) pixie (อาศัยตามทุ่งนาทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ) nymph (นางไม้) goblin(อาศัยตามบ้านเรือน) ondine (นางพรายทะเล) lorerei (นางพรายในแม่น้ำไรน์ของเยอรมัน) นางเงือกและแม่มด
ไม่ว่าจะเป็นนิทานสำหรับเด็ก หรือวรรณคดีชั้นเรียนในมหาวิทยาลัย บางครั้งถ้าเป็นการแปลก็อาจเกิดความข้องใจขึ้นมาว่า คำว่า angel , god หรือ fairy นี้ ควรแปลว่าเป็นเทวดาประเภทไหน หรือถ้าจะแปลกลับจากไทยเป็นอังกฤษ เช่น พระอินทร์หรือนางฟ้าที่อยู่ในนิทานเด็ก ควรจะใช้คำแปลว่าอะไร ผู้แปลบางคนอาจแปลรวมกันไปหมด โดยเฉพาะแปลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นจากคัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนา หรือนางฟ้าในเรื่องซินเดอเรลลา ก็แปลว่าเทวดาไปหมด ความจริงแล้วฝรั่งเขาแบ่งเทวดาเอาไว้หลายพวก หรือไทยเองก็เช่นกัน ดังจะได้อธิบายต่อไป
เทวดาฝรั่งประเภทแรกที่จะเอ่ยถึง คือเทวดาในคริสต์ศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนานี้ย่อมจะนึกภาพออก ภาพวาดมักจะเป็นชายรูปร่างแบบมนุษย์ สวยงาม สวมชุดขาวยาว และมีปีกใหญ่ มันจะมาติดต่อกับมนุษย์เวลาพระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งกับมนุษย์ผู้นั้น เทวดาพวกนี้เป็นพวก angel คือพวกที่ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ เป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นอยู่บนสวรรค์ รับใช้และร้องเพลงสวดสรรเสริญ ภาษาไทยใช้คำว่า “ทูตสวรรค์” ซึ่งมีความหมายเข้ากับเรื่องได้ดี ทูตสวรรค์เหล่านี้บางองค์ก็ได้ชื่อว่า นักบุญ ด้วย เช่น เซนต์กาเบรียล เป็นชื่อโรงเรียนที่รู้จักกันดี
ทูตสวรรค์เหล่านี้มีอยู่ทั้งหมด ๙ ระดับด้วยกัน เดิมในคัมภีร์เก่าของคริสต์ศาสนามีอยู่ ๔ ระดับ คือ Archangels, angels, Cherubims หรือ seraphims แต่ในคัมภีร์ใหม่ที่นักบุญพอลรวบรวมและเรียบเรียงนั้น ได้เพิ่มระดับทูตสวรรค์เข้าไปอีก ๕ ได้แก่ Virtues, Powers, Principalitics, dominions และ thrones ซึ่งทูตสวรรค์อีก ๕ ระดับนี้ทางโรมันคอทอลิก ได้ประกาศรับรองเป็นทางการเมื่อศตวรรษที่สี่
ทูตสวรรค์ที่คนไทยอาจเห็นรูปหรือได้ยินผ่านหูมากก็มี archangels เป็นระดับสูงสุดของทั้ง ๙ ทำหน้าที่คล้ายระดับรัฐมนตรีของสวรรค์ เมื่อเกิดสงครามบนสวรรค์ราว ลูซิเฟอร์คิดกบฏ เทวดาชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ก็นำขบวนไปรบปราบปราม ได้แก่ ไมเคิล เกเบรียล และ ราฟาแอล โดยมีไมเคิลเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ลูซิเฟอร์เองก็รวมอยู่ในเทวดาชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ แต่เมื่อแพ้ก็ตกจากสวรรค์สู่นรกกลายเป็นพญามารไป ส่วนอีกสองประเภทที่อาจเคยเห็นกัน ก็ได้แก่เทวดาที่มีลักษณะเหมือนเด็กทารก มีปีกเล็กๆมักอยู่ตามรูปวาดรูปปั้นต่างๆในยุโรป หรือในบัตรอวยพร ถ้าไม่มีธนู ไม่มีคันศร ก็คือ ทูตสวรรค์ ประเภท Cherulim กับ Seraphim ซึ่งเดิมก็มีรูปร่างแบบทูตสวรรค์อื่นๆ แต่จิตรกรสมัยเรเนสซังส์ (ศตวรรษที่ ๑๖)ของยุโรป ได้เขียนให้เป็นทารกไป บางทีจึงสับสนกับคิวปิดกามเทพแห่งตำนานกรีกและโรมัน ซึ่งมีรูปเป็นเด็กเช่นกันหากแต่ถือศร และคำว่า Cherubim นี้ได้กลายมาเป็นคุณศัพท์ หมายถึงเด็กที่หน้าตาน่ารักหรือผู้ที่มีใบหน้ากลม แก้มเป็นพวงเหมือนเด็ก
สำหรับเทวดาไทย หรือพูดให้ถูกเทวดาอินเดียที่ไทยรับมาเป็นไทย เช่น พระอินทร์ พระอาทิตย์ พระอิศวร พระพรหม นั้น ตรงกับคำว่า gods เป็นเทพเจ้า ไม่ใช่ทูตสวรรค์ พระอุมาหรือพระลักษมีนั้น คือ goddesses เป็นเพศหญิงของคำว่า gods เทพเจ้าเหล่านี้ประทับอยู่บนสวรรค์และในที่ต่างๆบนโลกดังจะแบ่งได้ดังนี้
สวรรค์นั้นแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท ประเภทแรก คือ ฉกามาพจร สวรรค์หกชั้นแรกสำหรับเทพที่ยังเวียนว่ายตายเกิด และเทพผู้ทำหน้าที่ต่างๆให้กับโลก ผู้ที่ตายไปถ้าทำความดีก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์หนึ่งในหกนี้ จนหมดบุญ กามนิตและวาสิฏฐีก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ระดับนี้ ชื่อเรียงลำดับนับแต่ต่ำสุดไปจนสูงสุด ก็คือ
๑. จตุมหาราชิก หรือ จตุมหาราช เป็นที่อยู่ของท้าวโลกบาลทั้งสี่ ผู้รักษาทิศทั้งสี่ในโลก
๒. ดาวดึงส์ ที่ประทับของพระอินทร์
๓. ยามา
๔. ดุสิต ที่ประทับของพระโพธิสัตว์
๕. นิมมานรดี
๖. ปรนิมมิตวสวตี พญามารที่มาผจญพระพุทธเจ้าอยู่ชั้นนี้ เพราะเป็นผู้ที่ยังสัตว์โลกและผู้มีกิเลสให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ จึงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือเทวดา เพราะเทวดาเหล่านี้ก็ยังมีกิเลสเหมือนกัน
ส่วนอีกประเภทของสวรรค์ คือ สวรรค์ชั้นพรหม มี ๑๖ ชั้น มีพรหมระดับต่างๆกันล้วนเป็นผู้พ้นจากกิเลส คำว่า พรหมลิขิต ก็คือลิขิตของพระพรหมผู้สร้างโลกและสร้างสวรรค์ทั้งหมดนี้ อยู่คนละแห่งกับพระอินทร์และก็สูงกว่าพระอิศวร ซึ่งประทับบนยอดเขาพระสุเมรุหลังคาโลก ต่ำกว่าสวรรค์ และสูงกว่าพระนารายณ์ ซึ่งอยู่ที่เกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) ซึ่งเป็นทะเลบนโลก แต่ในรามเกียรติ์ของไทย ดูจะลดพระพรหมลงต่ำกว่าพระอิศวรเสียอีก
เทวดาฝรั่งอีกประเภท ที่คนไทยเคยอ่านเคยได้ยินกันบ่อย คือพวกที่อยู่ในนิทานสำหรับเด็กที่เรียกว่า เทพนิยาย แปลมาจาก Fairy’s tales ซึ่งหมายถึงเรื่องรวบรวมนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของฝรั่ง โดยมากก็จะมีเทวดาปะปนด้วยเกือบทุกเรื่อง เช่น แม่ทูนหัวของซินเดอเรลลา หรือ นางฟ้าที่สาปเจ้าหญิงนิทรา พวกนี้ภาษาอังกฤษใช้คำว่า fairy ภาษาไทยเราแปลว่า เทพ บ้าง เทพธิดา หรือ นางฟ้า ซึ่งพออนุโลมได้ เพราะยังไม่มีใครบัญญัติศัพท์ตรงตัวขึ้นมาใช้ ความจริง เทพ เทพธิดา หรือนางฟ้านี้ ไม่ใช่คำตรงตามความจริงนัก เพราะแฟรี่พวกนี้ไม่ใช่เทวดาและไม่ได้อยู่บนฟ้า หากแต่เป็นอมนุษย์พวกหนึ่งตามความเชื่อของยุโรปทางเหนือ อาจอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร หรือตามบ้านเรือน (ที่ไทยเรามีพวก ผีบ้าน ผีเรือน คล้ายกัน) มีอำนาจวิเศษหายตัวหรือแปลงตัวได้ บางทีก็ช่วยเหลือมนุษย์ เช่น fairy godmother ของซินเดอเรลลา รับเป็นแม่ทูนหัวคอยช่วยเวลานางเอกตกทุกข์ได้ยาก แฟรี่ที่ประทานพรให้เจ้าหญิงนิทราก็เช่นกัน แต่ที่ร้ายก็เช่นแฟรี่ที่สาปให้เจ้าหญิงนิทราให้หลับไปร้อยปี เป็นต้น แฟรี่นี้มีอยู่หลายพวก เช่นเป็นหญิงรูปร่างสวยงามมีปีกคล้ายผีเสื้อ หรือเป็นชายหญิงร่างเล็กเท่าปลายนิ้ว เต้นระบำอยู่ในแสงจันทร์ หรือเป็นผู้ชายตัวเล็ก จมูกแหลมหูแหลม ใส่หมวกแหลมๆและรองเท้าปลายแหลมเช่นกัน
มีผู้สันนิษฐาน ๒ ทาง ถึงรากศัพท์ fairy อย่างแรกคือมาจากภาษาลาตินว่า fata (ฟาตา) หมายถึงเทพชั้นรองๆในตำนานโรมันโบราณ มีหน้าที่ลิขิตชะตาของมนุษย์แต่ละคน ทำนองเดียวกับเทวดาเสวยอายุของไทย อย่างที่สองคือมาจากคำว่า faierie ของฝรั่งเศสหมายถึง มายากร หรือผู้มีอำนาจสะกดคนภายหลังกลายเป็นอมนุษย์ในความคิดฝันของคน เมื่อล่วงเข้ายุคมืดหรือยุคกลางของยุโรป สมัยนั้นผู้คนขึ้นใจทางด้านโชคลาง ไสยศาสตร์ เห็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ หรือน่ากลัวหน่อย ก็ยกให้เป็นการกระทำของ แฟรี่ เช่นแสงสว่างดวงๆในป่า ที่ไทยเรียกว่า ผีกระสือ หรือนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ฟอสฟอรัส แฟรี่ที่ปรากฏในวรรณคดีก็มี ‘ฮวนแห่งบอโดซ์’ ซึ่งน.ม.ส.ทรงแปลไว้ในชื่อเดียวกัน และ ‘ฝัน ณ กลางราตรีฤดูร้อน’ ของเชกสเปียร์ เป็นต้น
แฟรี่ของแต่ละประเทศ แตกต่างกันออกไปตามความเชื่อถือของแต่ละประเทศ ของอังกฤษ คือผู้ช่วยเหลือมนุษย์ ของไอริช คืออมนุษย์ตัวเล็กๆที่ซุกซนชอบแกล้งคนเรียกว่า Leprechan ซึ่งเป็นช่างทำรองเท้าฝีมือเยี่ยมด้วย ของฝรั่งเศสได้แก่แม่ทูนหัวของซินเดอเรลลา เป็นหญิงรูปสวยงาม สะโอดสะอง (หากแต่วอลท์ ดิสนีย์เปลี่ยนรูปไปเป็นหญิงแก่) เรียกว่า เฟ ของเยอรมันเป็นชราที่ฉลาดเฉลียว เรียกว่า ฟี ของสเปนออกจะไปทางแม่มดมากกว่าชาติอื่น ก็เช่นคนแคระในเรื่องสโนไวท์ นับเป็นแฟรี่เหมือนกัน และถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานคนรู’ (Gnomes's Mobile)ของวอลท์ ดิสนีย์ คงจะจำอมนุษย์ตัวเล็กๆได้ พวกนี้เป็นแฟรี่ เรียกว่า gnomes ไทยแปลว่า คนรู ซึ่งนับว่าถูก เพราะพวกนี้อาศัยอยู่ในดิน
แฟรี่นี้เดิมเป็นพวกใดไม่ปรากฏชัด มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นชนเผ่านีโอลิธิคในยุโรป ซึ่งเป็นชนเผ่าโดดเดี่ยว มีความเจริญมากกว่าชาติอื่น ทำให้เกิดความเชื่อว่ามีอำนาจพิเศษทำอะไรต่างๆได้ เมื่อเล่าสืบต่อๆกันมา ก็กลายเป็นผู้วิเศษไป แต่ก็มีผู้ค้นคว้าว่า น่าจะมาจากความเชื่อทางลัทธิในยุโรปโบราณบูชาเทพเจ้าต่างๆในธรรมชาติมากกว่า เมื่อคริสต์ศาสนาแพร่หลายไปถึง ลบล้างความเชื่อเก่าๆเทพเก่าแก่พวกนี้ก็คลายมนต์ขลังกลายเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังไป บวกกับความไม่เข้าใจธรรมชาติ ปรากฏการณ์ต่างๆเช่น ลมพัด หรือน้ำขึ้นน้ำลง ก็ถูกยกไปให้เป็นการกระทำของอมนุษย์พวกนี้
ชื่ออื่นๆของแฟรี่ก็มี เช่น elf (เอลฟ์) pixie (อาศัยตามทุ่งนาทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ) nymph (นางไม้) goblin(อาศัยตามบ้านเรือน) ondine (นางพรายทะเล) lorerei (นางพรายในแม่น้ำไรน์ของเยอรมัน) นางเงือกและแม่มด
การทำตลาดแบบเกาหลี ตีความ-กระบวนการ-ความร่วมมือ บนความเชื่อในประเทศถ้าเราไม่มองเจ๊ตารี ขาวซีด ทาแก้มด้วยการเกลี่ยสีสด พูดจาโฮกฮาก ชนไม่เลี้ยง ลากชุดพองกลมกรอมเท้ากวาดขี้หมา หยิบจับอาหารด้วยมือแม้แต่ในวัง ห้องปราศจากเตียง ตั่ง แต่เป็นที่นั่ง-ที่นอน หากมองในมิติของละครเพียงอย่างเดียว ที่มีคนหน้าตาเรียวผิดบรรพชน เราอาจจะตีความหนังพวกนี่ว่าเป็นเรื่องกรี๊ดๆของวัยรุ่นฮือฮาเป็นคราวๆไป
แต่ในมิติของการค้าแล้ว "แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง" ไม่ใช่แค่ "ละคร"
o มันคือหนึ่งใน "สินค้า" ทางวัฒนธรรมของเกาหลี
o "สินค้า" ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจและมีกระบวนการวางแผนเป็นอย่างดีของรัฐบาลและภาคเอกชนของเกาหลี
เป็นการสร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดขึ้น
How
1. . ให้ละครหรือหนังเป็นผู้บุกเบิก
2. ใช้พลังทาง "ศิลปะ" ที่ทำให้คนเกิดจินตนาการคล้อยตาม
โปรดพิจารณา จุดนี้
1) ทำให้คนเกิดจินตนาการ
2) จินตนาการที่สร้างความคล้อยตาม
..ถือเป็นกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่ขาย "STORY" และ "จินตนาการ" อย่างแท้จริง
..
... .. .. จากนั้น
3. สร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดขึ้น
โปรดพิจารณา จุดนี้
1) เมื่อ "ดีมานด์" เกิด "ซัพพลาย" ก็ตามมา
4. เลือกเรื่องที่จะเล่า(เป็น tools) – เลือกกสนเล่าผ่านละคร เลือกเรื่องที่จะเล่า เลือกวิธีเล่า เลือกวิธีแทรกเรื่องที่ต้องการ เลือกจุด/ช่วงที่จะแทรก/เลือกความหน่วงในการแทรกเรื่อง-จะพาไปไกลจากปมละครแค่ไหน อย่างไร เช่น
4.1 แดจังกึม ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทำอาหารของเกาหลี
4.1.1 กระแสที่เกิดขึ้น-คือแฟนละครในประเทศนั้นสนใจอาหารเกาหลีมากขึ้น
4.1.2 อยากชิม อยากกินอาหารเกาหลี
4.1.3 จึงถือเป็นผู้ขยายตลาด "อาหารเกาหลี" ในต่างประเทศอย่างแท้จริง
4.2 ละคร Winter Love Song
4.2.1 สร้างกระแส "ฟีเวอร์" ในญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ
4.2.2 แฟนละครโหยหาทิวทัศน์ความโรแมนติคของสถานที่ที่ใช้เป็นฉากหนัง
4.2.3 อยากเห็น อยากสัมผัส
5. เมื่อสร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดได้.................................. "ซัพพลาย" จะสนองตอบ
การสร้าง อิทธิพลของ "ละคร"
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกาหลีจะเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นมา คือ ธุรกิจทัวร์ตามรอยละครดังเป็นทัวร์รูปแบบใหม่ เรียกกันว่า "Drama Tour"
5.1 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเกาหลีฟูเฟื่องขึ้นเพราะเกิด "จุดขาย" ใหม่ คือ สถานที่ในฉากละคร
5.1.1 แค่เปียโนที่ "จุงซาน" พระเอกเล่นในละครก็มีคนอยากไปนั่งเล่นบ้าง
นี่คือ อิทธิพล
5.1.1.1 "ละคร" สามารถทำให้ห้องที่ "เปียโน" ตัวนั้นตั้งอยู่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้
5.1.1.2 เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความทรงจำเกี่ยวกับความรักของ "พระเอก-นางเอก" ในละครเรื่องนี้
5.1.1.3 นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจใหม่เกิดขึ้น เช่น Cine/Studio เป็นสถานที่บรรจุเรื่องราวของหนังและละครเกาหลีที่มีชื่อเสียงหลายเรื่อง
6. ถือเป็นกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่ขาย "STORY" และ "จินตนาการ" อย่างแท้จริง
7. ทำ "โลกแห่งมายา" ให้เป็น "โลกเสมือนจริง"
8. เกิดความสำเร็จในตลาดเอเชีย โดยสร้าง
9. ความต้องการให้ระเบิดขึ้นในญี่ปุ่นเป็นชาติแรก(หลังละครและหนังเกาหลีตีตลาดญี่ปุ่นสำเร็จ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นแห่ไปเที่ยวเกาหลีเพิ่มมากขึ้น
10. คนที่คลั่งไคล้ในละครเรื่องใดก็สามารถเข้าไปชมฉากละครและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้
พลังของ "สินค้าวัฒนธรรม"
ทำไมเกาหลีใช้วิธีนี้
Why
1. ประเทศเกาหลีไม่ค่อยจะมีทรัพยากรธรรมชาติด้านการท่องเที่ยวมากนัก
2. เกาหลีต้องฃงที่จะส่งออกสินค้าวัฒนธรรมเพื่อทำให้เกาหลีเป็นที่รู้จักมากขึ้น
3. เป็นการเรียกเงินคืนจากการลงทุน(ส่งเสริม+โปรโมทหนัง)
4. เป็นการทำให้เกาหลีเป็นที่รู้จักในประเทศต่างๆ
5. เกิดความรู้จัก –เชื่อใจสินค้าเกาหลีมากขจึ้น เช่น—
5.1 สินค้าเกาหลีอย่างซัมซุงหรือแอลจี คนประเทศอื่นก็หันมาสนใจใช้มากขึ้น
5.2 ดาราดังๆ อย่าง วอนบิน และ แบ ยอง จุง ก็ทำให้คนต่างประเทศรู้จักเกาหลีมากขึ้น
5.3 มีทัวร์มาลงเยอะมากโดยเฉพาะญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเที่ยวเยอะจริงๆ บางครั้งต้องใช้เครื่องบินโดยเฉพาะเพื่อรับทัวร์มาลง"
WOW!!
1. "ละคร" ไม่ใช่แค่เพียง "สินค้า" ส่งออกที่ทำรายได้มหาศาลให้เกาหลี
2. เจาะตลาดเฉพาะและตลาดเอเชี่ยน โดยแยกเป็น ตลาดอาเซียน จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น
3. เป็น "สื่อโฆษณา" ให้กับสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลีอีกด้วย
-- "วัฒนธรรมประเพณี" ได้กลายเป็น "สินค้า" ที่ทำรายได้ให้กับเกาหลีได้ถึง 10% ของมูลค่าธุรกิจทั้งหมดของเกาหลี สินค้าวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลี คือ หนัง ละคร เกมออนไลน์ เพลง การ์ตูน นิยาย ฯลฯ
What’s up 1
1. การบุกตลาดสินค้าวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลี ไม่ได้เกิดจากภาคเอกชนอย่างเดียว-แต่เป็นยุทธศาสตร์ของประเ
2. แปร "วัฒนธรรม" ให้เป็น "ธุรกิจ"
3. มีธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ที่ได้รับผลพวงจากความสำเร็จของละครและหนัง
4. เกาหลีมีกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ในกระทรวงนี้จะมีหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลสินค้าด้านวัฒนธรรม เช่น เกม การ์ตูน เพลง หนัง ละคร ฯลฯ ชื่อ KOCCA
5. KOCCA มีหน้าที่สนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปต่างประเทศ
1. สหรัฐอเมริกาเคยใช้ "หนังฮอลลีวู้ด" สร้างค่านิยมใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ
a. หนังฮอลลีวู้ดทำให้คนไทยได้รู้จักไลฟ์สไตล์ตะวันตก/ทำให้รู้จักอาหารฟาสต์ฟู้ด/รู้จักรถยนต์รุ่นใหม่/และคุ้นเคยกับ "โค้ก-เป๊ปซี่-และยีนส์"
2. ละครเกาหลีกำลังทำให้คนไทยและคนเอเชียคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของเกาหลีมากขึ้น/แต่เป็นการสร้างความคุ้นเคยแบบ
a. "ตั้งใจ" อย่างยิ่ง
b. ตั้งใจสร้าง "ดีมานด์"
c. "ตั้งใจ" ทำให้ระบบธุรกิจของสินค้าวัฒนธรรมประเพณีเคลื่อนตัวต่อไป
แต่ในมิติของการค้าแล้ว "แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง" ไม่ใช่แค่ "ละคร"
o มันคือหนึ่งใน "สินค้า" ทางวัฒนธรรมของเกาหลี
o "สินค้า" ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจและมีกระบวนการวางแผนเป็นอย่างดีของรัฐบาลและภาคเอกชนของเกาหลี
เป็นการสร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดขึ้น
How
1. . ให้ละครหรือหนังเป็นผู้บุกเบิก
2. ใช้พลังทาง "ศิลปะ" ที่ทำให้คนเกิดจินตนาการคล้อยตาม
โปรดพิจารณา จุดนี้
1) ทำให้คนเกิดจินตนาการ
2) จินตนาการที่สร้างความคล้อยตาม
..ถือเป็นกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่ขาย "STORY" และ "จินตนาการ" อย่างแท้จริง
..
... .. .. จากนั้น
3. สร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดขึ้น
โปรดพิจารณา จุดนี้
1) เมื่อ "ดีมานด์" เกิด "ซัพพลาย" ก็ตามมา
4. เลือกเรื่องที่จะเล่า(เป็น tools) – เลือกกสนเล่าผ่านละคร เลือกเรื่องที่จะเล่า เลือกวิธีเล่า เลือกวิธีแทรกเรื่องที่ต้องการ เลือกจุด/ช่วงที่จะแทรก/เลือกความหน่วงในการแทรกเรื่อง-จะพาไปไกลจากปมละครแค่ไหน อย่างไร เช่น
4.1 แดจังกึม ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทำอาหารของเกาหลี
4.1.1 กระแสที่เกิดขึ้น-คือแฟนละครในประเทศนั้นสนใจอาหารเกาหลีมากขึ้น
4.1.2 อยากชิม อยากกินอาหารเกาหลี
4.1.3 จึงถือเป็นผู้ขยายตลาด "อาหารเกาหลี" ในต่างประเทศอย่างแท้จริง
4.2 ละคร Winter Love Song
4.2.1 สร้างกระแส "ฟีเวอร์" ในญี่ปุ่นและประเทศต่างๆ
4.2.2 แฟนละครโหยหาทิวทัศน์ความโรแมนติคของสถานที่ที่ใช้เป็นฉากหนัง
4.2.3 อยากเห็น อยากสัมผัส
5. เมื่อสร้าง "ดีมานด์" ให้เกิดได้.................................. "ซัพพลาย" จะสนองตอบ
การสร้าง อิทธิพลของ "ละคร"
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกาหลีจะเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นมา คือ ธุรกิจทัวร์ตามรอยละครดังเป็นทัวร์รูปแบบใหม่ เรียกกันว่า "Drama Tour"
5.1 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเกาหลีฟูเฟื่องขึ้นเพราะเกิด "จุดขาย" ใหม่ คือ สถานที่ในฉากละคร
5.1.1 แค่เปียโนที่ "จุงซาน" พระเอกเล่นในละครก็มีคนอยากไปนั่งเล่นบ้าง
นี่คือ อิทธิพล
5.1.1.1 "ละคร" สามารถทำให้ห้องที่ "เปียโน" ตัวนั้นตั้งอยู่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้
5.1.1.2 เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความทรงจำเกี่ยวกับความรักของ "พระเอก-นางเอก" ในละครเรื่องนี้
5.1.1.3 นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจใหม่เกิดขึ้น เช่น Cine/Studio เป็นสถานที่บรรจุเรื่องราวของหนังและละครเกาหลีที่มีชื่อเสียงหลายเรื่อง
6. ถือเป็นกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่ขาย "STORY" และ "จินตนาการ" อย่างแท้จริง
7. ทำ "โลกแห่งมายา" ให้เป็น "โลกเสมือนจริง"
8. เกิดความสำเร็จในตลาดเอเชีย โดยสร้าง
9. ความต้องการให้ระเบิดขึ้นในญี่ปุ่นเป็นชาติแรก(หลังละครและหนังเกาหลีตีตลาดญี่ปุ่นสำเร็จ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นแห่ไปเที่ยวเกาหลีเพิ่มมากขึ้น
10. คนที่คลั่งไคล้ในละครเรื่องใดก็สามารถเข้าไปชมฉากละครและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้
พลังของ "สินค้าวัฒนธรรม"
ทำไมเกาหลีใช้วิธีนี้
Why
1. ประเทศเกาหลีไม่ค่อยจะมีทรัพยากรธรรมชาติด้านการท่องเที่ยวมากนัก
2. เกาหลีต้องฃงที่จะส่งออกสินค้าวัฒนธรรมเพื่อทำให้เกาหลีเป็นที่รู้จักมากขึ้น
3. เป็นการเรียกเงินคืนจากการลงทุน(ส่งเสริม+โปรโมทหนัง)
4. เป็นการทำให้เกาหลีเป็นที่รู้จักในประเทศต่างๆ
5. เกิดความรู้จัก –เชื่อใจสินค้าเกาหลีมากขจึ้น เช่น—
5.1 สินค้าเกาหลีอย่างซัมซุงหรือแอลจี คนประเทศอื่นก็หันมาสนใจใช้มากขึ้น
5.2 ดาราดังๆ อย่าง วอนบิน และ แบ ยอง จุง ก็ทำให้คนต่างประเทศรู้จักเกาหลีมากขึ้น
5.3 มีทัวร์มาลงเยอะมากโดยเฉพาะญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเที่ยวเยอะจริงๆ บางครั้งต้องใช้เครื่องบินโดยเฉพาะเพื่อรับทัวร์มาลง"
WOW!!
1. "ละคร" ไม่ใช่แค่เพียง "สินค้า" ส่งออกที่ทำรายได้มหาศาลให้เกาหลี
2. เจาะตลาดเฉพาะและตลาดเอเชี่ยน โดยแยกเป็น ตลาดอาเซียน จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น
3. เป็น "สื่อโฆษณา" ให้กับสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลีอีกด้วย
-- "วัฒนธรรมประเพณี" ได้กลายเป็น "สินค้า" ที่ทำรายได้ให้กับเกาหลีได้ถึง 10% ของมูลค่าธุรกิจทั้งหมดของเกาหลี สินค้าวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลี คือ หนัง ละคร เกมออนไลน์ เพลง การ์ตูน นิยาย ฯลฯ
What’s up 1
1. การบุกตลาดสินค้าวัฒนธรรมประเพณีของเกาหลี ไม่ได้เกิดจากภาคเอกชนอย่างเดียว-แต่เป็นยุทธศาสตร์ของประเ
2. แปร "วัฒนธรรม" ให้เป็น "ธุรกิจ"
3. มีธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ที่ได้รับผลพวงจากความสำเร็จของละครและหนัง
4. เกาหลีมีกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ในกระทรวงนี้จะมีหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลสินค้าด้านวัฒนธรรม เช่น เกม การ์ตูน เพลง หนัง ละคร ฯลฯ ชื่อ KOCCA
5. KOCCA มีหน้าที่สนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปต่างประเทศ
What’s up 2
1. สหรัฐอเมริกาเคยใช้ "หนังฮอลลีวู้ด" สร้างค่านิยมใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ
a. หนังฮอลลีวู้ดทำให้คนไทยได้รู้จักไลฟ์สไตล์ตะวันตก/ทำให้รู้จักอาหารฟาสต์ฟู้ด/รู้จักรถยนต์รุ่นใหม่/และคุ้นเคยกับ "โค้ก-เป๊ปซี่-และยีนส์"
2. ละครเกาหลีกำลังทำให้คนไทยและคนเอเชียคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของเกาหลีมากขึ้น/แต่เป็นการสร้างความคุ้นเคยแบบ
a. "ตั้งใจ" อย่างยิ่ง
b. ตั้งใจสร้าง "ดีมานด์"
c. "ตั้งใจ" ทำให้ระบบธุรกิจของสินค้าวัฒนธรรมประเพณีเคลื่อนตัวต่อไป
ท่องเที่ยวอันดามันกลับมา
Andaman Travel Trade……………ลองสรุปความเห็นต่อภาพรวม
1. ท่องเที่ยวอันดามันกลับมา
1.1 ข่าวและความเห็นกว้างๆ มักได้ข้อมูลว่าการท่องเที่ยวปีนี้แย่กว่าปี2551
1.2 เมื่อ*วิเคราะห์หลายด้านแล้ว ภูเก็ต*ปีนี้ น่าจะทำได้ดีกว่าที่อื่นในประเทศไทยมาก
เรื่องราวที่ไม่เป็นบวกไม่อวยต่อเรื่องการท่องเที่ยว โดยมีปัจจัยไม่น่าพึงพอใจและยากที่จะเข้าใจได้ตั้งแต่ต้น 2551 ได้แก่
1) การเมืองไม่นิ่ง
2) การปิดสนามบิน
3) การบุกถล่มที่ประชุมอาเซี่ยน
4) การก่อกวนความสงบกลางกรุง
5) การสร้างกระแส และก่อกวนระยะไกล
6) การทะเลาะวิวาท
7) เรื่องประท้วง(จริงและการเมือง)กันมากมายในประเทศ
8) โรคหวัด 2009
สิ่งที่เป็นการสร้างความมั่นใจทำให้ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เป็นสิ่งที่ภูเก็ตทำได้ดี คือ
1) การร่วมกันเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนที่ภูเก็ต
2) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน รัฐมนตรีศึกษาอาเซียน :ล้วนเป็นงานระดับโลกทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เห็นว่าภูเก็ตสามารถสร้างความมั่นใจในจุดนี้ได้ดี
ความคุ้มค่า.นการเที่ยวเมืองไทย ทำให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยวความจริงก็คือความจริง
++++++++++++++++++++++
1. ผู้เปิดงาน “ดิ อันดามัน เทรเวิล เทรด 2009 ”
- นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
- นายไพบูลย์ อุปัติฤงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
- นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
- นายเมธี ตันมานะตระกูล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้
-
2. ดิ อันดามัน เทรเวิล เทรด 2009 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Andaman 3 Destinations-1,000 Activities” “ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-29 พ.ย. 2552
3. มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ตและอันดามัน รวมถึงบริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วม’งาน
4. การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 หลังจากที่งานดังกล่าวได้เว้นช่วงไประยะหนึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ
5. ตามข่าวท้องถิ่นแจ้งว่าสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตและสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ (ททท. ??) มีแนวคิดในการจัดงานดังกล่าวขึ้นอีก โดยการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและอันดามัน
6. การจัดงาน ททท. สำนักงานต่างๆทั่วโลก (ยกเว้นอเมริการและ...........) ได้เชิญบริษัทนำเที่ยวที่เป็นตลาดหลักให้เดินทางมาพบปะกับผู้ประกอบการในภูเก็ตและอันดามัน
7. ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่ไม่สามารถเดินทางไปโรดโชว์หรือส่งเสริมการขายในต่างประเทศได้พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลและตกลงธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในต่างประเทศ และเพื่อให้บริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศได้เห็นสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
8. บริษัทบริษัท นำเที่ยว
8.1 บริษัท นำเที่ยวจากต่างประเทศที่เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้มี 259 ราย
8.2 บริษัทนำเที่ยวในประเทศ 26 ราย
9 ผู้ประกอบการในภูเก็ตและอันดามัน มีทั้งหมด 117 ราย แบ่งเป็น
9.1 จังหวัดภูเก็ต 72 ราย
9.2 พังงา 15ราย
9.3 กระบี่ 22 ราย
9.4 เกาะสมุย 5 ราย
9.5 เกาะพงัน 2 ราย และ
9.6 สตูล 1 ราย
10 **เป้าหมาย เพื่อ
10.1 ให้บริษัทนำเที่ยวได้เห็นถึงความคุ้มค่าในการเดินทางมาท่องเที่ยวในอันดามัน
10.2 เพื่อให้เห็นว่าที่อันดามันสามารถเลือกแหล่งท่องเที่ยวได้หลากหลาย
10.3 เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนในอันดามันนานวันขึ้นและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
11. ภาพรวมการท่องเที่ยวของภูเก็ตในช่วงไฮชีชั่นนี้
11.1 เทียบกับปีที่แล้วถือว่านักท่องเที่ยวลดเล็กน้อย
11.2 แต่ขณะนี้เริ่มที่จะดีขึ้น และคาดว่าในปีนี้ภาพรวมอัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ผู้ประกอบการพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่
11.3 ปัจจุบัน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว การเมืองในประเทศไม่วุ่นวาย ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาท่องเที่ยวเหมือนเดิม
11.4 แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปจากเดิมที่มีการจองห้องพักล่วงหน้าเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันใช้ใช้เวลาในช่วงสั้นๆ เพื่อความมั่นใจว่าการเดินทางท่องเที่ยวจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของตัวเองและรอดูเพ็กเก็จต่างๆ ที่ผู้ประกอบการนำเสนอเพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด
12. บริษัทนำเที่ยวต่างประเทศที่เข้าร่วมงานครั้งนี้มาจากทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
12.1 ในส่วนของ ททท.ได้มีการส่งเสริมการขายให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอันดามันมากขึ้น
12.2 เน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีคุณภาพสูง กลุ่มประสัมมนา การจัดแสดงสินค้า การท่องเที่ยวด้านกีฬา ด้วยการออกไปทำโรดโชว์ในกลุ่มตลาดต่างๆ ดังกล่าว
12.3 ททท.เชื่อมั่นในศักยภาพของภูเก็ตว่ายังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการเดินทางมาพักผ่อน และในงาน ITB ที่กำลังจะมาถึงทางททท.ได้มีการขยายพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อรองรับผู้ประกอบการที่จะไปโรดโชว์ได้มากขึ้นด้วย
สัญญาณการท่องเที่ยวของภูเก็ตนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงมาจากหลายเมืองในช่วงไฮซีชั่นนี้ เช่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น และเชื่อว่าหลังจากผู้ประกอบการนำเที่ยวได้เห็นสินค้าทางการท่องเที่ยวของภูเก็ตและอันดามันแล้วจะพึงพอใจและส่งนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตอย่างแน่นอน
การจัดงานอันดามันเทเวลเทรด การสร้างประวัติศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับอันดามัน* งานอันดามันเทเวลเทรด ที่จัดขึ้นที่เซ็นทรัล ภูเก็ต
- มีเอเย่นต์ทัวร์ทั่วโลก เกือบสามร้อยราย จำนวนนับพันคน
- จุดดีคือโอกาสที่มาที่ ภูเก็ต สามารถดูด้วยตา
- มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศทีดีของบ้านอย่างภูเก็ต(กลุ่มลองสเตย์)
- สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทุกสำนักงานทั่วโลก การบินไทย ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด
- ในงาน - ผู้ซื้อ พบกับผู้ขาย มีชาวต่างชาติ ต่างภาษามาเจรจาหาห้องพักให้กับนักท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ และมาช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทย
- ที่สำคัญที่สุดคือมีผู้ซื้อจากหลายประเทศที่เขาสนใจมาภูเก็ต เช่น อินเดีย รัสเซีย ฯลฯ
รวมทั้งกระทั่งไต้หวันที่แทบหายไปตั้งแต่สึนามิ (ยังกลัวเรื่องวิญญาณ) แต่ตอนนี้ได้สื่อมวลชนต่างให้ความสนใจไปถึงเรื่องที่ต้องการทำการส่งเสริมการท่องเที่ยวเช่นนี้บ้าง โดยถามว่าภูเก็ตจะทำการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ประเทศเขาได้ไหม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวภูเก็ต ศักยภาพของความเป็นสากล ที่พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตของทั่วโลก
** ประเด็นพิจารณา
- *ต้องนำเสนอสิ่งดีๆที่*มีอยู่
- รู้จักชักชวน เชิญชวน – โฆษณา
- หาช่องทางเชิญชวนให้เขาอยากมา
ผลลัพท์จากการร่วมมือระหว่างททท. –สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ร่วมกับอบจ. เมื่อไปทำโรดโชว์ที่เซี่ยงไฮ้ มาเลเซีย และสิงคโปร์ เมื่อปี 2551 คือ...
1) ภูเก็ตมีไฟท์บินตรงจากเซี่ยวไฮ้สัปดาห์ละ 6 เที่ยว
2) การบินไทยก็จะมีบินตรงอีกในต้น2553จากประเทศจีนหลายเมือง
3) สายการบินแอร์เอเซียบินตรงจากเมดานมาภูเก็ต ตามที่ภูเก็ตเคยคาดหวังตั้งแต่จัดงานเทศกาลอาหารฮาลาล ที่มีทำงานร่วมกัน
ปี 2553 หลังจากงานอันดามันฯแล้วภูเก็ตจะทำงานเชิงรุกต่อไปภูเก็ต น่าจะดีกว่านี้ เนื่องจาก ภาพความร่วมมือของทุกส่วนในจังหวัดจะเป็นพลังที่สร้างความมั่นใจให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจมาลงทุน มาเที่ยวภูเก็ต
1. ท่องเที่ยวอันดามันกลับมา
1.1 ข่าวและความเห็นกว้างๆ มักได้ข้อมูลว่าการท่องเที่ยวปีนี้แย่กว่าปี2551
1.2 เมื่อ*วิเคราะห์หลายด้านแล้ว ภูเก็ต*ปีนี้ น่าจะทำได้ดีกว่าที่อื่นในประเทศไทยมาก
เรื่องราวที่ไม่เป็นบวกไม่อวยต่อเรื่องการท่องเที่ยว โดยมีปัจจัยไม่น่าพึงพอใจและยากที่จะเข้าใจได้ตั้งแต่ต้น 2551 ได้แก่
1) การเมืองไม่นิ่ง
2) การปิดสนามบิน
3) การบุกถล่มที่ประชุมอาเซี่ยน
4) การก่อกวนความสงบกลางกรุง
5) การสร้างกระแส และก่อกวนระยะไกล
6) การทะเลาะวิวาท
7) เรื่องประท้วง(จริงและการเมือง)กันมากมายในประเทศ
8) โรคหวัด 2009
สิ่งที่เป็นการสร้างความมั่นใจทำให้ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เป็นสิ่งที่ภูเก็ตทำได้ดี คือ
1) การร่วมกันเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนที่ภูเก็ต
2) การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน รัฐมนตรีศึกษาอาเซียน :ล้วนเป็นงานระดับโลกทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เห็นว่าภูเก็ตสามารถสร้างความมั่นใจในจุดนี้ได้ดี
ความคุ้มค่า.นการเที่ยวเมืองไทย ทำให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยวความจริงก็คือความจริง
++++++++++++++++++++++
1. ผู้เปิดงาน “ดิ อันดามัน เทรเวิล เทรด 2009 ”
- นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
- นายไพบูลย์ อุปัติฤงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
- นายสมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
- นายเมธี ตันมานะตระกูล นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้
-
2. ดิ อันดามัน เทรเวิล เทรด 2009 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด The Andaman 3 Destinations-1,000 Activities” “ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-29 พ.ย. 2552
3. มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูเก็ตและอันดามัน รวมถึงบริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วม’งาน
4. การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 หลังจากที่งานดังกล่าวได้เว้นช่วงไประยะหนึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ
5. ตามข่าวท้องถิ่นแจ้งว่าสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตและสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ (ททท. ??) มีแนวคิดในการจัดงานดังกล่าวขึ้นอีก โดยการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและอันดามัน
6. การจัดงาน ททท. สำนักงานต่างๆทั่วโลก (ยกเว้นอเมริการและ...........) ได้เชิญบริษัทนำเที่ยวที่เป็นตลาดหลักให้เดินทางมาพบปะกับผู้ประกอบการในภูเก็ตและอันดามัน
7. ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่ไม่สามารถเดินทางไปโรดโชว์หรือส่งเสริมการขายในต่างประเทศได้พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลและตกลงธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในต่างประเทศ และเพื่อให้บริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศได้เห็นสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
8. บริษัทบริษัท นำเที่ยว
8.1 บริษัท นำเที่ยวจากต่างประเทศที่เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้มี 259 ราย
8.2 บริษัทนำเที่ยวในประเทศ 26 ราย
9 ผู้ประกอบการในภูเก็ตและอันดามัน มีทั้งหมด 117 ราย แบ่งเป็น
9.1 จังหวัดภูเก็ต 72 ราย
9.2 พังงา 15ราย
9.3 กระบี่ 22 ราย
9.4 เกาะสมุย 5 ราย
9.5 เกาะพงัน 2 ราย และ
9.6 สตูล 1 ราย
10 **เป้าหมาย เพื่อ
10.1 ให้บริษัทนำเที่ยวได้เห็นถึงความคุ้มค่าในการเดินทางมาท่องเที่ยวในอันดามัน
10.2 เพื่อให้เห็นว่าที่อันดามันสามารถเลือกแหล่งท่องเที่ยวได้หลากหลาย
10.3 เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนในอันดามันนานวันขึ้นและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
11. ภาพรวมการท่องเที่ยวของภูเก็ตในช่วงไฮชีชั่นนี้
11.1 เทียบกับปีที่แล้วถือว่านักท่องเที่ยวลดเล็กน้อย
11.2 แต่ขณะนี้เริ่มที่จะดีขึ้น และคาดว่าในปีนี้ภาพรวมอัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ผู้ประกอบการพอใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่
11.3 ปัจจุบัน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว การเมืองในประเทศไม่วุ่นวาย ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาท่องเที่ยวเหมือนเดิม
11.4 แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปจากเดิมที่มีการจองห้องพักล่วงหน้าเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันใช้ใช้เวลาในช่วงสั้นๆ เพื่อความมั่นใจว่าการเดินทางท่องเที่ยวจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของตัวเองและรอดูเพ็กเก็จต่างๆ ที่ผู้ประกอบการนำเสนอเพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด
12. บริษัทนำเที่ยวต่างประเทศที่เข้าร่วมงานครั้งนี้มาจากทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
12.1 ในส่วนของ ททท.ได้มีการส่งเสริมการขายให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอันดามันมากขึ้น
12.2 เน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีคุณภาพสูง กลุ่มประสัมมนา การจัดแสดงสินค้า การท่องเที่ยวด้านกีฬา ด้วยการออกไปทำโรดโชว์ในกลุ่มตลาดต่างๆ ดังกล่าว
12.3 ททท.เชื่อมั่นในศักยภาพของภูเก็ตว่ายังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการเดินทางมาพักผ่อน และในงาน ITB ที่กำลังจะมาถึงทางททท.ได้มีการขยายพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อรองรับผู้ประกอบการที่จะไปโรดโชว์ได้มากขึ้นด้วย
สัญญาณการท่องเที่ยวของภูเก็ตนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงมาจากหลายเมืองในช่วงไฮซีชั่นนี้ เช่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น และเชื่อว่าหลังจากผู้ประกอบการนำเที่ยวได้เห็นสินค้าทางการท่องเที่ยวของภูเก็ตและอันดามันแล้วจะพึงพอใจและส่งนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตอย่างแน่นอน
การจัดงานอันดามันเทเวลเทรด การสร้างประวัติศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับอันดามัน* งานอันดามันเทเวลเทรด ที่จัดขึ้นที่เซ็นทรัล ภูเก็ต
- มีเอเย่นต์ทัวร์ทั่วโลก เกือบสามร้อยราย จำนวนนับพันคน
- จุดดีคือโอกาสที่มาที่ ภูเก็ต สามารถดูด้วยตา
- มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศทีดีของบ้านอย่างภูเก็ต(กลุ่มลองสเตย์)
- สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทุกสำนักงานทั่วโลก การบินไทย ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด
- ในงาน - ผู้ซื้อ พบกับผู้ขาย มีชาวต่างชาติ ต่างภาษามาเจรจาหาห้องพักให้กับนักท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ และมาช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทย
- ที่สำคัญที่สุดคือมีผู้ซื้อจากหลายประเทศที่เขาสนใจมาภูเก็ต เช่น อินเดีย รัสเซีย ฯลฯ
รวมทั้งกระทั่งไต้หวันที่แทบหายไปตั้งแต่สึนามิ (ยังกลัวเรื่องวิญญาณ) แต่ตอนนี้ได้สื่อมวลชนต่างให้ความสนใจไปถึงเรื่องที่ต้องการทำการส่งเสริมการท่องเที่ยวเช่นนี้บ้าง โดยถามว่าภูเก็ตจะทำการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ประเทศเขาได้ไหม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวภูเก็ต ศักยภาพของความเป็นสากล ที่พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮิตของทั่วโลก
** ประเด็นพิจารณา
- *ต้องนำเสนอสิ่งดีๆที่*มีอยู่
- รู้จักชักชวน เชิญชวน – โฆษณา
- หาช่องทางเชิญชวนให้เขาอยากมา
ผลลัพท์จากการร่วมมือระหว่างททท. –สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว ร่วมกับอบจ. เมื่อไปทำโรดโชว์ที่เซี่ยงไฮ้ มาเลเซีย และสิงคโปร์ เมื่อปี 2551 คือ...
1) ภูเก็ตมีไฟท์บินตรงจากเซี่ยวไฮ้สัปดาห์ละ 6 เที่ยว
2) การบินไทยก็จะมีบินตรงอีกในต้น2553จากประเทศจีนหลายเมือง
3) สายการบินแอร์เอเซียบินตรงจากเมดานมาภูเก็ต ตามที่ภูเก็ตเคยคาดหวังตั้งแต่จัดงานเทศกาลอาหารฮาลาล ที่มีทำงานร่วมกัน
ปี 2553 หลังจากงานอันดามันฯแล้วภูเก็ตจะทำงานเชิงรุกต่อไปภูเก็ต น่าจะดีกว่านี้ เนื่องจาก ภาพความร่วมมือของทุกส่วนในจังหวัดจะเป็นพลังที่สร้างความมั่นใจให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจมาลงทุน มาเที่ยวภูเก็ต
สรุปรายงานการสังเกตุการณ์-ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23
สรุปรายงานการสังเกตุการณ์-การแข่งขัน
การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 เป็นมหกรรมการแข่งขันเรือใบนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก กลับมาสร้างปรากฏการณ์แห่งกีฬาทางน้ำครั้งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คนเข้าสู่เกาะภูเก็ต
งานแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 ประกาศศักดิ์ศรีการแข่งขันเรือใบที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ด้วยทัพเรือใบที่เข้าร่วมแข่งขันกว่า 111 ลำ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คน ให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์
ความเป็นมา
งานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา โดยมีการจัดงานในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมของทุกปีนับแต่ 2530 เป็นต้นมา
งานครั้งนี้จัดขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินงานโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ซึ่งอยู่ภายใต้การอำนวยการแข่งของสโมสรเรือใบราชวรุณ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพเรือ และจังหวัดภูเก็ต
สำหรับงานในปี 2552 กองทัพเรือ ภาคที่ 3 ซึ่งรับผิดชอบชายฝั่งทะเลอันดามันรวมทั้งจังหวัดภูเก็ตได้ร่วมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการขนส่งและอุปกรณ์เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ เรือ เฮลิคอปเตอร์และหน่วยรบมนุษย์กบ (Sea-Air-Land Team - SEAL) ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสนามแข่งขัน
ผู้สนับสนุนร่วม....เบียร์ช้าง Coca-Cola ไวน์ น้ำสิงห์
เบียร์ช้างยังให้ช่วยสร้างสีสันให้การแข่งขันในครั้งนี้ด้วยการจัดงานเลี้ยง “ช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์” ในฐานะผู้สนับสนุนงานรีกัตต้าอย่างเป็นทางการ ภายในงานจะมีดีเจและศิลปินชื่อดังของเมืองไทยมาเปิดการแสดงบนหาดกะรนอันสวยงาม ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน โดยจะเปิดให้สาธารณชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้อีกด้วย โดยงานช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์ ดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 2 ธันวาคม 2552
เจ้าภาพ
โรงแรมในเครือกะตะ กรุ๊ป ผู้สนับสนุนสถานที่ ยังคงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเพื่อให้การต้อนรับแก่บรรดาลูกเรือผู้ร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตาม คณะผู้จัดงานและเหล่าอาสาสมัคร ซึ่งในฐานะเจ้าบ้านของงานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้ามานานกว่าทศวรรษ
โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จึงมีความพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของการแข่งขันเรือใบครั้งนี้ (ปีที่ผ่านมาโรงแรมภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท ในเครือกะตะ กรุ๊ป ยังได้รับการโวตให้เป็น “โรงแรมเพื่อครอบครัวยอดเยี่ยม (Best Family Hotel)” จากเว็บไซต์ Thomascook.com )
ผู้แข่งขันที่มาร่วมงานรีกัตต้าในปี 2552
เดินทางมาจากทั้งประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และอื่นๆ อีกมากมาย
รายนามผู้สนับสนุนงานภูเก็ต รีกัตต้า
ประกอบด้วย กะตะกรุ๊ป, เบียร์ช้าง (บ.ไทยเบฟเวอเรจ), ไวน์มองต์แคลร์ (บ.สยามไวน์เนอรี่), หม่อมตรีโบ๊ทเฮาส์, เดอะ มัวริงส์, และ หาดทิพย์ บจก. (โค๊ก) ส่วนพันธมิตรสื่อมวลชนของงานครั้งนี้ ได้แก่ Asia Pacific Boating, Blue Wave 90.5FM, Ensign Media, Multihull World, The Nation, Phuket Gazette, Prestige Thailand, Sail-World.com, Superyacht Asia Magazine และ Yacht Style
++++++++++++++
สรุปผล และสถานการณ์การแข่งขันวันแรกที่สังเกตุการณ์
6.00 am.
1. ลมไม่แรงอย่างที่คาดการณ์ แต่การแข่งขันบนผืนน้ำก็ดุเดือดไม่น้อย กองทัพเรือใบที่ร่วมแข่งขันต่างสำแดงพลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคเอเชีย
2. รายการแข่งขันในวันนี้สนับสนุนโดยกองทัพเรือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโคคา โคล่า
3. ผลจากการแข่งขันเรือใบประเภท Racing Class ทั้งสามรอบในวันแรก ปรากฏว่า
1) เรือ HiFi ของเนล ไพรด์ สามารถรั้งตำแหน่งผู้นำ
2) อันดับสอง ตามติดมาด้วยเรือ Jelik II ของแฟรงค์ ปอง โดยเรือ Jelik II แล่นเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในสองรอบแรกจากจำนวนสามรอบ(ด้วยลีลาอันน่าประทับใจ และเป็ที่กล่าวขวัญ บนเรือสังเกตุการณ์ชั้น 2 อย่างมาก)
- รวมเวลาแล้ว ปรากฏว่าเรือ HiFi กลับทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อ
- รวมจำนวนรอบทั้งหมด โดยมีนิค เบิร์นส นำเรือ EFG Bank Mandrake เข้าเป็นอันดับสาม
4. ประเภท IRC 1
1) เรือ Ichi Ban ของแมตต์ อัลเลน นำหน้าผู้แข่งขันรายอื่นด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งทั้งสามรอบ
2) เรือ Katsu และเรือ L’autre Femme เข้าเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ
5. ประเภท IRC 2
1) เรือ Team Bentlely นำหน้าเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
2) เรือ Puma เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) เรือราชนาวีไทย 1 (Royal Thai Navy 1) เป็นอันดับสาม
6. ประเภท Multihull Racing
1) เรือ Thor ของเฮนรี่ เคย์ ครองตำแหน่งผู้นำในการแข่งขันทั้งสามรอบตั้งแต่จุดสตาร์ทจนถึงเส้นชัย
2) เรือ Seamico Cedar เข้า--ระดับ กาญจนวณิชย์แล่นสู่เส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) อันดับสามตกเป็นของเรือ Sting
3.00 pm.
++++++++++++++
ต่อเรื่องโอกาสแนวโน้มการลงทุนและประเด็นพิจารณา ฉบับหน้า (ให้คนอื่นทำบ้าง เดี๋ยวขยันเกิน เหนื่อย )
การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 เป็นมหกรรมการแข่งขันเรือใบนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก กลับมาสร้างปรากฏการณ์แห่งกีฬาทางน้ำครั้งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คนเข้าสู่เกาะภูเก็ต
งานแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ครั้งที่ 23 ประกาศศักดิ์ศรีการแข่งขันเรือใบที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ด้วยทัพเรือใบที่เข้าร่วมแข่งขันกว่า 111 ลำ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูงกว่า 2,000 คน ให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์
ความเป็นมา
งานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา โดยมีการจัดงานในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมของทุกปีนับแต่ 2530 เป็นต้นมา
งานครั้งนี้จัดขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดำเนินงานโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทาน ภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้า ซึ่งอยู่ภายใต้การอำนวยการแข่งของสโมสรเรือใบราชวรุณ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, กองทัพเรือ และจังหวัดภูเก็ต
สำหรับงานในปี 2552 กองทัพเรือ ภาคที่ 3 ซึ่งรับผิดชอบชายฝั่งทะเลอันดามันรวมทั้งจังหวัดภูเก็ตได้ร่วมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการขนส่งและอุปกรณ์เครื่องมือ เจ้าหน้าที่ เรือ เฮลิคอปเตอร์และหน่วยรบมนุษย์กบ (Sea-Air-Land Team - SEAL) ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสนามแข่งขัน
ผู้สนับสนุนร่วม....เบียร์ช้าง Coca-Cola ไวน์ น้ำสิงห์
เบียร์ช้างยังให้ช่วยสร้างสีสันให้การแข่งขันในครั้งนี้ด้วยการจัดงานเลี้ยง “ช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์” ในฐานะผู้สนับสนุนงานรีกัตต้าอย่างเป็นทางการ ภายในงานจะมีดีเจและศิลปินชื่อดังของเมืองไทยมาเปิดการแสดงบนหาดกะรนอันสวยงาม ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน โดยจะเปิดให้สาธารณชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานได้อีกด้วย โดยงานช้าง รีกัตต้า มูนไลท์ ไนท์ ดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 2 ธันวาคม 2552
เจ้าภาพ
โรงแรมในเครือกะตะ กรุ๊ป ผู้สนับสนุนสถานที่ ยังคงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเพื่อให้การต้อนรับแก่บรรดาลูกเรือผู้ร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตาม คณะผู้จัดงานและเหล่าอาสาสมัคร ซึ่งในฐานะเจ้าบ้านของงานภูเก็ต คิงส์คัพ รีกัตต้ามานานกว่าทศวรรษ
โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา จึงมีความพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของการแข่งขันเรือใบครั้งนี้ (ปีที่ผ่านมาโรงแรมภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท ในเครือกะตะ กรุ๊ป ยังได้รับการโวตให้เป็น “โรงแรมเพื่อครอบครัวยอดเยี่ยม (Best Family Hotel)” จากเว็บไซต์ Thomascook.com )
ผู้แข่งขันที่มาร่วมงานรีกัตต้าในปี 2552
เดินทางมาจากทั้งประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร จีน รัสเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์และอื่นๆ อีกมากมาย
รายนามผู้สนับสนุนงานภูเก็ต รีกัตต้า
ประกอบด้วย กะตะกรุ๊ป, เบียร์ช้าง (บ.ไทยเบฟเวอเรจ), ไวน์มองต์แคลร์ (บ.สยามไวน์เนอรี่), หม่อมตรีโบ๊ทเฮาส์, เดอะ มัวริงส์, และ หาดทิพย์ บจก. (โค๊ก) ส่วนพันธมิตรสื่อมวลชนของงานครั้งนี้ ได้แก่ Asia Pacific Boating, Blue Wave 90.5FM, Ensign Media, Multihull World, The Nation, Phuket Gazette, Prestige Thailand, Sail-World.com, Superyacht Asia Magazine และ Yacht Style
++++++++++++++
สรุปผล และสถานการณ์การแข่งขันวันแรกที่สังเกตุการณ์
6.00 am.
1. ลมไม่แรงอย่างที่คาดการณ์ แต่การแข่งขันบนผืนน้ำก็ดุเดือดไม่น้อย กองทัพเรือใบที่ร่วมแข่งขันต่างสำแดงพลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคเอเชีย
2. รายการแข่งขันในวันนี้สนับสนุนโดยกองทัพเรือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโคคา โคล่า
3. ผลจากการแข่งขันเรือใบประเภท Racing Class ทั้งสามรอบในวันแรก ปรากฏว่า
1) เรือ HiFi ของเนล ไพรด์ สามารถรั้งตำแหน่งผู้นำ
2) อันดับสอง ตามติดมาด้วยเรือ Jelik II ของแฟรงค์ ปอง โดยเรือ Jelik II แล่นเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในสองรอบแรกจากจำนวนสามรอบ(ด้วยลีลาอันน่าประทับใจ และเป็ที่กล่าวขวัญ บนเรือสังเกตุการณ์ชั้น 2 อย่างมาก)
- รวมเวลาแล้ว ปรากฏว่าเรือ HiFi กลับทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อ
- รวมจำนวนรอบทั้งหมด โดยมีนิค เบิร์นส นำเรือ EFG Bank Mandrake เข้าเป็นอันดับสาม
4. ประเภท IRC 1
1) เรือ Ichi Ban ของแมตต์ อัลเลน นำหน้าผู้แข่งขันรายอื่นด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งทั้งสามรอบ
2) เรือ Katsu และเรือ L’autre Femme เข้าเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ
5. ประเภท IRC 2
1) เรือ Team Bentlely นำหน้าเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
2) เรือ Puma เข้าเส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) เรือราชนาวีไทย 1 (Royal Thai Navy 1) เป็นอันดับสาม
6. ประเภท Multihull Racing
1) เรือ Thor ของเฮนรี่ เคย์ ครองตำแหน่งผู้นำในการแข่งขันทั้งสามรอบตั้งแต่จุดสตาร์ทจนถึงเส้นชัย
2) เรือ Seamico Cedar เข้า--ระดับ กาญจนวณิชย์แล่นสู่เส้นชัยเป็นอันดับสอง
3) อันดับสามตกเป็นของเรือ Sting
3.00 pm.
++++++++++++++
ต่อเรื่องโอกาสแนวโน้มการลงทุนและประเด็นพิจารณา ฉบับหน้า (ให้คนอื่นทำบ้าง เดี๋ยวขยันเกิน เหนื่อย )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)